ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (9 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดาวโจนส์พุ่งขึ้นติดต่อกัน 6 วันทำการ อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ยังคงปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงในวันพุธตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,272.30 จุด ลดลง 300.14 จุด หรือ -1.09% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,207.18 จุด ลดลง 25.21 จุด หรือ -0.78% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,953.75 จุด เพิ่มขึ้น 29.01 จุด หรือ +0.29%
นักวิเคราะห์จากบริษัทฮาร์เวสต์ โวลาทิลิตี้ แมเนจเมนท์ ในรัฐนิวยอร์ก กล่าวว่า นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันศุกร์ซึ่งดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 800 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ดีดตัวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย รวมทั้งความหวังที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐดิ่งลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ร่วงลง 2.6% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ดิ่งลง 2.07% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 2.84% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 1.2% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 1.12%
หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญซึ่งพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมานั้น ปิดตลาดอ่อนแรงลงเนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ร่วงลง 8.3%หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ดิ่งลง 8.67% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ร่วงลง 6.36% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ดิ่งลง 7.57% หุ้นเจ็ทบลู แอร์เวย์ส ร่วงลง 8.85%
หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ร่วงลง 6.92% หุ้นนอร์เวย์เจียน ครูซ ไลน์ โฮลดิ้ง ดิ่งลง 10.15% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ร่วงลง 7.51%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงเนื่องจากแรงขายทำกำไรเช่นกัน โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ร่วงลง 2.56% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก ดิ่งลง 5.2% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 4.9% ส่วนหุ้นโบอิ้ง ดิ่งลง 5.97% หลังจากบริษัทระบุว่า คำสั่งยกเลิกเครื่องบินรุ่น 737 Max สูงกว่าคำสั่งซื้อในเดือนพ.ค.
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยหุ้นแอปเปิล ทะยานขึ้น 3.46% หุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 3.14% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 0.76% หุ้นอัลฟาเบท บวก 0.28% หุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 0.27%
นักลงทุนจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐ (NBER) ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้เข้าสู่ภาวะถดถอยในเดือนก.พ. โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐยุติช่วงการขยายตัวที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดี NBER คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวตั้งแต่ไตรมาส 3 ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบนี้ นอกจากจะมีความรุนแรงเป็นประวัติการณ์ ยังทำสถิติช่วงเวลาสั้นที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดซึ่งจะมีการแถลงในวันพุธตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีตามเวลาไทย เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ย
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด จะจัดการแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมในครั้งนี้ โดยคาดว่าเขาจะเน้นย้ำว่าเฟดจะยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดยไม่จำกัดวงเงินและเวลา เพื่อรักษาสภาพคล่องในตลาด
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) แถลงว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมปรับตัวขึ้น 4.5 จุด สู่ระดับ 94.4 ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ทางด้านสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลง 965,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 5.0 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2557
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน