ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (10 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลง 6.5% ในปีนี้ และนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานและแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นปิดที่เหนือระดับ 10,000 จุดเป็นครั้งแรก โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,989.99 จุด ลดลง 282.31 จุด หรือ -1.04% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,190.14 จุด ลดลง 17.04 จุด หรือ -0.53% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,020.35 จุด เพิ่มขึ้น 66.59 จุด หรือ +0.67%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ และยืนยันว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และบรรลุเป้าหมายของเฟดในการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งรักษาเสถียรภาพของราคา
ในการประชุมครั้งนี้ เฟดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลง 6.5% ในปีนี้ ก่อนที่จะดีดตัวขึ้น 5% ในปี 2564 และคาดว่าอัตราว่างงานจะอยู่ที่ระดับ 9.3% ในปีนี้ ก่อนที่จะลดลงแตะระดับ 6.5% และ 5.5% ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการต่างๆที่รัฐบาลสหรัฐนำมาใช้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดนั้น ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทรุดตัวลงอย่างรุนแรง และทำให้ตัวเลขการว่างงานพุ่งขึ้นด้วย ขณะเดียวกันมีแนวโน้มว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาสปัจจุบันของสหรัฐจะลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนในตลาดแรงงานนั้น แม้ตัวเลขการจ้างงานจะดีดตัวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายในเดือนพ.ค. แต่อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการว่างงานในหมู่คนงานที่มีรายได้ต่ำ กลุ่มสตรี และชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
ทั้งนี้ นายพาวเวลให้คำมั่นว่า เฟดจะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อกระตุ้นตลาดแรงงานและเศรษฐกิจให้กลับคืนสู่สภาพดี
ราคาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ร่วงลงเกือบทุกกลุ่ม นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 5.40% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.89% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ร่วงลง 7.55% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ทรุดตัวลง 10.44% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 5.8% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ดิ่งลง 29.67%
หุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งมีความอ่อนไหวต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนั้น ปรับตัวลงด้วย โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 5.77% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ร่วงลง 4.07% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ดิ่งลง 8.95% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 6.12% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 2.10% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 3.41%
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 และทำสถิติปิดที่เหนือระดับ 10,000 จุดเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 3.71% หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.57% หุ้นอัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล บวก 0.87% หุ้นอเมซอนดอทคอม เพิ่มขึ้น 1.79% หุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 1.32%
หุ้นเอ็มจีเอ็ม รีสอร์ทส์ อินเตอร์เนชันแนล ร่วงลง 7% แม้บริษัทแถลงว่าจะเปิดรีสอร์ทในลาสเวกัสเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้านี้
หุ้น Hertz Global Holdings Inc ซึ่งเป็นบริษัทให้เช่ารถยนต์ของสหรัฐ ดิ่งลง 39.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่าได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเกี่ยวกับการถอดหุ้นของบริษัทออกจากการซื้อขายในตลาด
หุ้นเบสท์บาย ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกสินค้าอิเลคทรอนิคส์รายใหญ่ของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 0.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่าจะอนุญาตให้ประชาชนเข้ามาซื้อสินค้าในร้านได้ แต่ในจำนวนที่จำกัด
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปลดลง 0.1% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทางด้านสมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยดีดตัวขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว แม้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวขึ้น
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน