ดัชนีดาวโจนส์พลิกดีดตัวสู่แดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ขานรับรัฐบาลสหรัฐประกาศผ่อนคลายข้อกำหนดการลงทุนสำหรับภาคธนาคาร
ณ เวลา 21.42 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,258.78 จุด บวก 12.84 จุด หรือ 0.05%
คณะกรรมการประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) แถลงในวันนี้ว่า FDIC ได้ผ่อนคลายข้อกำหนดจาก Volcker Rule โดยจะอนุญาตให้ธนาคารสหรัฐสามารถทำการลงทุนได้มากขึ้น
ทั้งนี้ การผ่อนคลายข้อจำกัดดังกล่าว จะทำให้ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐสามารถเข้าลงทุนในกองทุนร่วมลงทุน (venture capital) หรือกองทุนอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้รับการยกเว้นจากการสำรองเงินสดสำหรับการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ระหว่างบริษัทในเครือ
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุดในช่วงแรก โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 ขณะที่นักลงทุนผิดหวังต่อตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานที่สูงเกินคาดของสหรัฐ รวมทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 1.48 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.35 ล้านราย
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านรายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 14 แม้ว่ารัฐต่างๆได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และได้เปิดเศรษฐกิจครั้งใหม่
อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในวันนี้ ต่ำกว่าที่มีการรายงานในสัปดาห์ที่แล้วที่ระดับ 1.5 ล้านราย โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แตะระดับ 6.9 ล้านรายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 มี.ค.
นอกจากนี้ จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 767,000 ราย สู่ระดับ 19.52 ล้านราย โดยต่ำกว่าระดับ 20 ล้านรายเป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน
ทางด้านสำนักข่าว NBC รายงานว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ในสหรัฐได้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อวานนี้ โดยมีการรายงานผู้ติดเชื้อจำนวน 45,557 ราย
จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ดังกล่าวสูงกว่าสถิติเดิมที่ทำไว้ในวันที่ 26 เม.ย.กว่า 9,000 ราย
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าการพุ่งขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในรัฐแถบตะวันตกและทางใต้ของสหรัฐอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงวันหยุดทหารผ่านศึก ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นในหลายรัฐได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และประกาศเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง
ขณะนี้สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อจำนวน 2,462,713 ราย และมีผู้เสียชีวิต 124,282 ราย
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง 5% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 หลังจากที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ระบุว่าหดตัวลง 4.8% โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล ซึ่งทำให้มีการปิดเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลข GDP ติดลบ นับตั้งแต่ที่มีการรายงานว่าเศรษฐกิจหดตัว 1.1% ในไตรมาส 1/2557 และเป็นตัวเลขที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจหดตัว 8.4% ในไตรมาส 4/2551 ซึ่งขณะนั้นสหรัฐกำลังเผชิญวิกฤตการเงิน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลง 30% ในไตรมาส 2
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.1% ทั้งในไตรมาส 4 และไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว หลังจากเติบโต 2.0% ในไตรมาส 2 และ 3.1% ในไตรมาส 1
นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.3% ในปี 2562 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยต่ำกว่าระดับ 2.9% ในปี 2561 และ 2.4% ในปี 2560 ซึ่งเป็นปีแรกในการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่เขาตั้งเป้าการขยายตัวรายปีของเศรษฐกิจสหรัฐที่ระดับ 3% ในช่วงการดำรงตำแหน่ง 4 ปีของเขา