ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุดในวันนี้ ขานรับความคืบหน้าในการผลิตยาและวัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขการพุ่งขึ้นของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยกำไรและรายได้ของเป๊ปซี่โคซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ณ เวลา 20.43 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,298.34 จุด บวก 223.04 จุด หรือ 0.86%
หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น สายการบิน ค้าปลีก และธุรกิจเรือสำราญ ต่างก็ปรับตัวขึ้นในการซื้อขายวันนี้
ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี ออกแถลงการณ์ในวันนี้ ระบุว่า ทั้งสองบริษัทได้รับสถานะ "fast track" จากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ในการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ทางบริษัทได้รับการผ่อนคลายกฎระเบียบจาก FDA และส่งผลให้การพัฒนาวัคซีนเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น
ขณะนี้ วัคซีน BNT162b1 และ BNT162b2 ถือเป็นวัคซีน 2 ตัวที่มีความคืบหน้ามากที่สุดของไฟเซอร์และ BioNTech จากทั้งหมด 4 ตัว
ไฟเซอร์และ BioNTech เปิดเผยว่า หากวัคซีนดังกล่าวได้รับการอนุมัติจาก FDA ทางบริษัทจะสามารถผลิตวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ และมากกว่า 1.2 พันล้านโดสภายในสิ้นปีหน้า
นอกจากนี้ ไฟเซอร์และ BioNTech เตรียมทำการทดลองกับอาสาสมัครจำนวน 30,000 รายภายในเดือนนี้ หากได้รับการอนุมัติจาก FDA
ก่อนหน้านี้ บริษัท Gilead Sciences Inc ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาของสหรัฐ เปิดเผยว่า ผลการทดลองพบว่า ยา remdesivir สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโควิด-19 ได้ถึง 62% เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน
ขณะนี้ ยา remdesivir ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ โดยรัฐบาลสิงคโปร์ ญี่ปุ่นและอินเดีย ต่างก็ให้การอนุมัติการใช้ยา remdesivir ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง
รัฐฟลอริดาเปิดเผยว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 15,299 รายเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นสถิติการพุ่งขึ้นสูงสุดภายในวันเดียวในบรรดา 50 รัฐของสหรัฐนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด ขณะที่สหรัฐได้รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวนมากกว่า 60,000 รายติดต่อกัน 3 วัน
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ โดยธนาคารขนาดใหญ่จะเริ่มรายงานตัวเลขผลกำไรในวันพรุ่งนี้
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทจดทะเบียนจะรายงานผลประกอบการร่วงลง 44% ในไตรมาส 2 ซึ่งจะเป็นการดิ่งลงมากที่สุดเมื่อเทียบรายไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2551
ทางด้านบริษัทเป๊ปซี่โค เปิดเผยในวันนี้ว่า บริษัทมีกำไรและรายได้ในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จากการที่ผู้บริโภคแห่ซื้อเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว เนื่องจากต้องใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น ตามมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ เป๊ปซี่โคเปิดเผยกำไรที่ระดับ 1.32 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.25 ดอลลาร์/หุ้น
นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ 1.595 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.538 หมื่นล้านดอลลาร์