ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างจีนกับสหรัฐ แม้ว่าวันนี้จีนจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสก็ตาม
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 22,831.96 จุด ลดลง 113.54 จุด, -0.49% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 25,183.08 จุด ลดลง 298.50 จุด, -1.17% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,583.28 จุด ลดลง 2.28 จุด, -0.14%
ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2563 ขยายตัว 3.2% ซึ่งฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่หดตัวลง 6.8% ในไตรมาส 1 และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 2.5%
ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของจีนที่ออกมาดีเกินคาดนั้น ได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลจีนยุติการใช้มาตรการล็อกดาวน์ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายกำหนดนโยบายของจีนได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือกับผลกระทบของวิกฤตโควิด-19
นอกจากนี้ NBS รายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย.ปรับตัวลง 1.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งดีกว่าในเดือนพ.ค.ที่หดตัวลง 2.8%
ขณะเดียวกัน การผลิตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นมาตรวัดภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญ ขยายตัว 4.8% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งดีกว่าในเดือนพ.ค.ที่มีการขยายตัว 4.4% และออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวได้ถูกบดบังจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้กฎหมายคว่ำบาตรจีน และลงนามในคำสั่งของฝ่ายบริหารเพื่อยุติการให้สถานะพิเศษแก่ฮ่องกง ขณะที่รัฐบาลจีนประกาศว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้องค์กรและบุคลากรของสหรัฐ
ทางด้านนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐเตรียมจำกัดการออกวีซ่าให้กับพนักงานของบริษัทด้านเทคโนโลยีของจีน ซึ่งรวมถึงพนักงานของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ โดยอ้างเหตุผลว่าบริษัทเหล่านั้นมีส่วนสนับสนุนรัฐบาลจีนในการละเมิดสิทธิมนุษยชน