ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) โดยดาวโจนส์ทำสถิติยืนที่เหนือระดับ 27,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนทำให้นักลงทุนแห่ซื้อหุ้นที่ปลอดภัยและสามารถต้านทานวัฎจักรทางเศรษฐกิจได้ดี (defensive stocks) เช่นหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคและกลุ่มสาธารณูปโภค ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรสเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีวงเงินราว 1 ล้านล้านดอลลาร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,005.84 จุด เพิ่มขึ้น 165.44 จุด หรือ +0.62% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,276.02 จุด เพิ่มขึ้น 18.72 จุด หรือ +0.57% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,706.13 จุด เพิ่มขึ้น 25.77 จุด หรือ +0.24%
นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคและกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งเป็นหุ้นที่ปลอดภัยและมีปัจจัยพื้นฐานดี ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ รัฐบาลสหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนที่เมืองฮิวสตันภายใน 72 ชั่วโมง ขณะที่จีนประกาศตอบโต้มาตรการดังกล่าว
สำหรับหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคนั้น หุ้นโคคา โคล่า พุ่งขึ้น 2.71% หุ้นเป๊ปซี่โค โค พุ่งขึ้น 1.18% หุ้นฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล บวก 0.13% หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) เพิ่มขึ้น 0.87%
ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคนำโดยหุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 2.21% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ พุ่งขึ้น 1.99% หุ้นพีจีแอนด์อี คอร์ปอเรชั่น บวก 0.11% หุ้นเอ็กเซลอน คอร์ปอเรชั่น บวก 0.66%
หุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 5.07% หลังจากมีรายงานว่าไฟเซอร์ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี จะได้รับเงินจำนวน 1.95 พันล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐ เพื่อใช้ในการผลิตและส่งมอบวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 จำนวน 100 ล้านโดสให้แก่รัฐบาล หากวัคซีนดังกล่าวได้รับการรับรองว่ามีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในมนุษย์
หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ร่วงลง 4.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 1.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 5.79 ดอลลาร์/หุ้น ในไตรมาส 2 ปีนี้ สวนทางกับในไตรมาส 2 ปีที่แล้วซึ่งบริษัทมีกำไร 1.05 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.02 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส แมชชีน (IBM) พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 2.18 ดอลลาร์/หุ้น มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 2.07 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งให้บริการขุดเจาะน้ำมัน ปรับตัวขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 ที่ระดับ 4.7 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.6 พันล้านดอลลาร์
นักลงทุนยังจับตาการเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรสเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ซึ่งคาดว่าจะมีวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์หรือมากกว่า โดยโครงการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้ จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องหามาตรการช่วยเหลืออื่นมารองรับหลังจากนั้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้นเกือบ 21% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2511 หลังจากทรุดตัวลงอย่างหนักในช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมิ.ย.จาก Conference Board, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ค.จากมาร์กิต และยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย.