ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (24 ก.ค.) โดยถูกกดดันจากความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสหรัฐ-จีน และความวิตกเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,123.82 จุด ลดลง 87.62 จุด หรือ -1.41% และร่วงลง 2.6% ในรอบสัปดาห์นี้
ตลาดถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐ-จีน หลังจีนสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเฉิงตูเพื่อตอบโต้ที่สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากแนวโน้มในการกำหนดมาตรการล็อกดาวน์รอบสอง หลังจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลก ยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นักลงทุนรู้สึกหมดหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลก และบรรดาบริษัทจดทะเบียนคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอ
นักวิเคราะห์เตือนว่า การที่ชาวอังกฤษเปลี่ยนไปซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้นนั้น อาจสกัดกั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบ V-shaped แม้ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้นในเดือนมิ.ย.กลับสู่ระดับก่อนการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโควิดแล้วก็ตาม
หุ้นทุกกลุ่มปรับตัวลง โดยหุ้นพรูเดนเชียล และ M&G ในกลุ่มประกัน ร่วงลง หลังรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยว่า กำลังเสนอที่จะขยายมาตรการเยียวยาชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือลูกค้าของบริษัทประกันที่เผชิญความยากลำบากจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ไปจนถึงสิ้นเดือนต.ค.
หุ้น M&G ซึ่งเป็นบริษัทจัดการลงทุนระหว่างประเทศ ร่วงลง 5.95%, หุ้นโวดาโฟน ร่วง 5.16% และหุ้นอินเตอร์เนชันแนล คอนโซลิเดเต็ด แอร์ไลน์ กรุ๊ป ร่วง 4.379%