ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 ส.ค.) หลังจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความกังวลว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจเผชิญกับความเสี่ยงสูง พร้อมกับเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ ในขณะที่ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการออกมาตรการดังกล่าวจนถึงขณะนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,692.88 จุด ลดลง 85.19 จุด หรือ -0.31% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,374.85 จุด ลดลง 14.93 จุด หรือ -0.44% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,146.46 จุด ลดลง 64.38 จุด หรือ -0.57%
ในช่วงแรกนั้น ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ และโลว์ส ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ
แต่ตลาดหุ้นนิวยอร์กอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา หลังจากเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 28-29 ก.ค. โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนที่สูงมาก และคาดว่า ทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกทั้งขึ้นอยู่กับว่าการกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งนั้น จะสามารถทำได้เป็นวงกว้างและมีเสถียรภาพมากเพียงใด
รายงานการประชุมเฟดยังระบุด้วยว่า "แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความเสี่ยงมากมาย ซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 โดยสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทรุดตัวลงอีก และจะนำไปสู่ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ"
นอกจากนี้ รายงานการประชุมเฟดยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้มาตรการเยียวยาด้านการคลังรอบใหม่ โดยระบุว่า "มาตรการเยียวยาด้านการคลังรอบใหม่มีความจำเป็นต่อการให้ความช่วยเหลือครัวเรือนที่ได้รับความเดือดร้อน และมีความจำเป็นต่อการสนับสนุนเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง"
การแสดงความเห็นในประเด็นดังกล่าวของกรรมการเฟดมีขึ้นในช่วงเวลาที่สภาคองเกรสและทำเนียบขาวยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่พรรคเดโมแครตเรียกร้องการให้เงินทุนสนับสนุนการส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเขามองว่าการส่งบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์จะนำไปสู่การฉ้อโกงในการเลือกตั้ง
หุ้นกู๊ดเยียร์ ร่วงลง 2.36% หลังจากปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความเรียกร้องให้ชาวอเมริกันเลิกใช้ยางกู๊ดเยียร์ ภายหลังจากที่บริษัทออกนโยบายห้ามพนักงานสวมเครื่องแต่งกายที่มีสัญลักษณ์ให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใดๆ ซึ่งรวมถึงการห้ามสวมหมวกแก๊บที่มีข้อความว่า "Make America Great Again" ซึ่งเป็นสโลแกนในการหาเสียงของทรัมป์ในการเลือกตั้งปธน.ครั้งที่แล้ว
หุ้นโมเมนตา ฟาร์มาซูติคัลส์ ทะยานขึ้นแข็งแกร่งถึง 69.17% ขณะที่หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจาก J&J บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการโมเมนตา ฟาร์มาซูติคัลส์ วงเงิน 6.5 พันล้านดอลลาร์ โดยการซื้อกิจการดังกล่าวจะช่วยให้ J&J เพิ่มความสามารถในการผลิตยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายมีความผิดปกติ ทำให้ร่างกายแพ้ภูมิตัวเอง และจะทำให้ J&J จะสามารถเข้าถึงกระบวนการวิจัยยารักษาโรคดังกล่าวของโมเมนตา หุ้นเมอส์ก (Maersk) ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือรายใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 4.99% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) พุ่งขึ้น 25% สู่ระดับ 1.7 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.575 พันล้านดอลลาร์
หุ้นทาร์เก็ต พุ่งขึ้น 12.65% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 3.38 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.62 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นโลว์ส ดีดตัวขึ้น 0.23% หลังจากบริษัทมีกำไรพุ่งขึ้น 68.7% และรายได้ดีดตัวขึ้น 30% ในไตรมาส 2 เนื่องจากผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่ายด้านการตกแต่งบ้าน
หุ้นออราเคิล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้น 1.85% หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้การสนับสนุนออราเคิลในการซื้อกิจการบริษัทติ๊กต็อก (TikTok) ภายหลังจากที่สื่อรายงานว่า ออราเคิลกำลังเจรจาเพื่อซื้อกิจการติ๊กต็อก
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนส.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ค.จาก Conference Board, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนส.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนส.ค.จากมาร์กิต และยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.