ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (20 ส.ค.) ตามการร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลกซึ่งถูกกดดันหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐต้องใช้เวลานานท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยนักลงทุนได้เทขายหุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อาทิ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มธนาคาร
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 1.07% ปิดที่ 365.64 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,830.00 จุด ลดลง 147.33 จุด หรือ -1.14%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,911.24 จุด ลดลง 65.99 จุด หรือ -1.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,013.34 จุด ลดลง 98.64 จุด หรือ -1.61%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาจากความวิตกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมเดือนก.ค.บ่งชี้ว่า เฟดกังวลกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ โดยกรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนที่สูงมาก และคาดว่า ทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกทั้งขึ้นอยู่กับว่าการกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งนั้น จะสามารถทำได้เป็นวงกว้างและมีเสถียรภาพมากเพียงใด
บรรดานักลงทุนเทขายหุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มเหมืองแร่, กลุ่มธนาคาร, กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงกลุ่มน้ำมันและก๊าซ
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่แย่กว่าคาดถ่วงตลาดลงด้วย โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 1.106 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 923,000 ราย
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยอังกฤษมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย. ขณะที่เยอรมนีก็มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
หุ้นดอยซ์แบงก์และหุ้นคอนติเนนทัลของเยอรมนี ร่วง 3.04% และ 2.47% ตามลำดับ, หุ้นเรโนลต์ และหุ้นอาร์เซลอร์มิตตัลของฝรั่งเศส ร่วง 4.86% และ 4.08% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นอีฟแรซและหุ้นสแตนดาร์ด ไลฟ์ อเบอร์ดีนของอังกฤษ ร่วง 6.02% และ 6.72% ตามลำดับ