ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (24 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากข่าวความคืบหน้าในการพัฒนาวิธีการรักษาโรคโควิด-19 ซึ่งได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ดัชนี Stoxx Europe 600 บวก 1.58% ปิดที่ 370.85 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,104.73 จุด เพิ่มขึ้น 102.84 จุด หรือ +1.71%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,066.54 จุด เพิ่มขึ้น 301.74 จุด หรือ +2.36% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,007.89 จุด เพิ่มขึ้น 111.56 จุด หรือ +2.28%
ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ หลังสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้อนุมัติให้ใช้พลาสมาที่มีโปรตีนภูมิคุ้มกัน (convalescent plasma) ในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยพลาสมาเหล่านี้ได้รับการบริจาคจากผู้ที่เคยป่วยด้วยโรคโควิด-19 แต่ได้รับการรักษาจนหายดี
หุ้น Grifols ของสเปนซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตพลาสมาชั้นนำของโลก พุ่งขึ้น 1.6%
หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า พุ่งขึ้น 2.1% หลังไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังพิจารณาเร่งการอนุมัติใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ที่พัฒนาโดยแอสต้าเซนเนก้า ขณะที่บริษัทมีความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนดังกล่าว
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ขณะที่หุ้นกลุ่มรถยนต์, เคมีภัณฑ์ และธนาคาร พุ่งขึ้นมากกว่า 2%
หุ้นบีที กรุ๊ปของอังกฤษ พุ่งขึ้นราว 7% หลังรายงานว่า คณะกรรมการของบริษัทกำลังเตรียมการเพื่อปกป้องการถูกเทคโอเวอร์จากบริษัทคู่แข่ง
หุ้นอีซี่เจ็ต และหุ้นไรอันแอร์ พุ่งขึ้นมากกว่า 3.5% หลังยูบีเอสระบุว่า บริษัทยังคงแนะนำลงทุนในสายการบินยุโรปซึ่งเน้นให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศมากกว่าเที่ยวบินระหว่างประเทศ