ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (28 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจหลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นในสเปน, ฝรั่งเศส และอิตาลี ขณะที่ตลาดถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของเยอรมนีและฝรั่งเศสด้วย
นอกจากนี้ ความวิตกเกี่ยวกับสุขภาพของนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และข่าวเกี่ยวกับการลาออกจากตำแหน่งของเขา ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายโดยรวมในตลาดหุ้นยุโรป
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.52% ปิดที่ 368.80 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,033.20 จุด ลดลง 63.16 จุด หรือ -0.48%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,002.94 จุด ลดลง 13.03 จุด หรือ -0.26% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,963.57 จุด ลดลง 36.42 จุด หรือ -0.61%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นในยุโรป
นักลงทุนขายทำกำไรหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งพุ่งขึ้นราว 11% แล้วในปีนี้ และขายหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ด้วย แต่หุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยบวกขึ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและยุโรปปรับตัวขึ้น
หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์, หุ้นเอชเอสบีซี และหุ้นบันโก ซานแทนเดอร์ ปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นแรงหนุนตลาดไม่ให้ปรับตัวลงมากนัก
หุ้นกลุ่มธนาคารยุโรปปรับตัวขึ้นหลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดประกาศกรอบนโยบายการเงินใหม่เมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งมุ่งเน้นการให้ความสำคัญมากขึ้นกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และคลายความวิตกที่ว่าเงินเฟ้ออาจจะเพิ่มขึ้นสูงเกินไป
แต่ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเยอรมนีย่ำแย่ลงในเดือนก.ย. ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในเยอรมนีจะมากพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปให้ฟื้นตัวขึ้นหรือไม่
GfK ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยตลาดของเยอรมนีเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะปรับตัวลงอย่างหนักในเดือนก.ย. หลังเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 เดือน
GfK ระบุว่า ดัชนีคาดการณ์ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเยอรมนีสำหรับเดือนก.ย. จะปรับตัวลดลงแตะ -1.8 หลังจากแตะระดับ -0.2 ในเดือนส.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก โดยนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 0.5 ในเดือนก.ย.
ส่วนสถาบัน INSEE ของฝรั่งเศสรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของฝรั่งเศส ร่วง 13.8% ในไตรมาส 2 หลังหดตัว 5.9% ในไตรมาสแรก