ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (11 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากข่าวการควบรวมกิจการของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป แต่การซื้อขายยังคงเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) แบบไม่มีข้อตกลง (no-deal Brexit)
ดัชนี Stoxx Europe 600 บวก 0.13% ปิดที่ 367.96 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,034.14 จุด เพิ่มขึ้น 10.21 จุด หรือ +0.20% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,032.09 จุด เพิ่มขึ้น 28.77 จุด หรือ +0.48% ส่วนดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,202.84 จุด ลดลง 6.05 จุด หรือ -0.05%
ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากข่าวควบรวมกิจการของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป โดยหุ้นของบริษัท Altice Europe พุ่งขึ้น 24.4% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน หลังตกลงขายหุ้นให้กับนายแพรทริค ดราฮี ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท
หุ้น Aryzta ซึ่งผลิตสินค้าอบแช่แข็งของสวิตเซอร์แลนด์ พุ่ง 12.5% หลังเปิดเผยว่ากำลังเจรจากับบริษัท Elliott Advisors ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนเอกชนเกี่ยวกับข้อตกลงเทคโอเวอร์
หุ้นบริษัท Euronext exchange พุ่งขึ้น 1.7% หลังยืนยันกับธนาคาร Cassa Depositi e Prestiti (CDP) ของรัฐบาลอิตาลีว่า กำลังเจรจาเพื่อซื้อบริษัท Borsa Italiana ซึ่งบริหารจัดการตลาดหุ้นอิตาลี
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มต่างๆ ส่วนใหญ่ยังคงปรับตัวลง หลังนักลงทุนผิดหวังที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลงมติตรึงอัตราดอกเบี้ย และระบุว่ากำลังจับตาค่าเงินยูโรอย่างใกล้ชิดหลังการประชุมนโยบายในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
หุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มเฮลธ์แคร์, กลุ่มเทเลคอม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มน้ำมันร่วงลงมากที่สุดโดยปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน
บรรดานักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับการที่อังกฤษและ EU ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าหลัง Brexit
มอร์แกน สแตนลีย์ออกรายงานระบุว่า มีแนวโน้มมากขึ้นที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง ซึ่งจะทำให้การค้าระหว่างอังกฤษและ EU อยู่ภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจะมีการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกัน โดยรายงานระบุว่า มีแนวโน้มมากถึง 40% ที่จะเกิดสถานการณ์ดังกล่าว