ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารออกมาหลังจากมีรายงานว่าธนาคารหลายแห่งมีส่วนในการโอนเงินผิดกฎหมายจำนวนมาก ขณะที่หุ้นกลุ่มการเดินทางดิ่งลงจากความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มที่อังกฤษจะประกาศมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบสองเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,804.29 จุด ลดลง 202.76 จุด หรือ -3.38%
ตลาดหุ้นลอนดอนดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มการเดินทาง อาทิ หุ้น IAG ซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินบริติช แอร์เวย์ ร่วงลง 12.1% หลังจากมีรายงานข่าวว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษกำลังพิจารณาที่จะประกาศมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบสองเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายแพทริก แวลแลนซ์ ที่ปรึกษารัฐบาลอังกฤษเปิดเผยว่า ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ในอังกฤษเพิ่มขึ้น 2 เท่าในทุก 7 วัน ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะทำให้อังกฤษมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 50,000 รายต่อวันภายในกลางเดือนหน้า และจะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 รายต่อวัน
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงด้วย โดยหุ้นเอชเอสบีซี ร่วง 5.26%, หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วง 5.82% และหุ้นบาร์เคลย์ส ร่วงลง 5.4% หลังมีรายงานว่า ธนาคารดังกล่าวมีส่วนในการโอนเงินผิดกฎหมายจำนวนมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
หุ้นโรลส์-รอยซ์ ซึ่งผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน ดิ่งลง 10.8% หลังบริษัทยืนยันว่ากำลังพิจารณาการออกหุ้นเพิ่มทุนมูลค่าราว 2.5 พันล้านปอนด์ (3.23 พันล้านดอลลาร์)