ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์แทบไม่ขยับในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวแคบในคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการดีเบตรอบแรกระหว่างคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต
ณ เวลา 18.58 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 24 จุด หรือ 0.09% สู่ระดับ 27,458 จุด
การดีเบตจะมีขึ้นในวันนี้ เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพรุ่งนี้ เวลา 08.00 น.ตามเวลาไทย โดยจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกผ่านทางสถานีโทรทัศน์ CNN และการดีเบตจะใช้เวลารวม 90 นาที ซึ่งผู้เข้าดีเบตจะต้องแสดงวิสัยทัศน์ใน 6 หัวข้อ ได้แก่ ประวัติของทรัมป์และไบเดน, ศาลฏีกาสหรัฐ, โควิด-19, เศรษฐกิจ, เชื้อชาติและความรุนแรงในเมืองต่างๆของสหรัฐ รวมทั้งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง โดยแต่ละหัวข้อจะใช้เวลาอภิปราย 15 นาที
สำหรับการดีเบตรอบแรกนี้ ตัวแทนของทรัมป์และไบเดนเห็นพ้องกันว่าผู้อภิปรายทั้งสองจะไม่มีการจับมือทักทายกันก่อนการดีเบตตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่อย่างใด อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ รวมทั้งจะไม่มีการเอาข้อศอกชนกันด้วย ขณะที่ทั้งทรัมป์และไบเดนจะไม่สวมหน้ากากอนามัย ส่วนการยืนบนเวทีนั้น ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ทรัมป์จะใช้โพเดียมฝั่งขวาของเวที ส่วนไบเดนจะใช้โพเดียมฝั่งซ้าย และผู้เข้าชมการดีเบตจะถูกจำกัดเหลือเพียง 60-70 คน จากเดิมที่มีจำนวน 900-1,200 คน และทุกคนจะต้องมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบ
นักวิเคราะห์เตือนว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะประสบความผันผวนในสัปดาห์นี้ โดยได้รับผลกระทบจากการดีเบต ซึ่งหากทรัมป์ชนะการดีเบตดังกล่าว ก็จะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิล และบริษัทผลิตอาวุธดีดตัวขึ้น และหากไบเดนเป็นฝ่ายชนะ ก็จะทำให้หุ้นในกลุ่มที่มีการค้าทั่วโลก และกลุ่มพลังงานหมุนเวียนปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ โดยนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ส่งสัญญาณว่า ตนและนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ มีแนวโน้มบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจดังกล่าวมีวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่พรรคเดโมแครตมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสบรรลุข้อตกลงกันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ย.