ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าทำเนียบขาวและสภาคองเกรสจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
ณ เวลา 21.13 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,817.86 จุด บวก 365.25 จุด หรือ 1.33%
ถึงแม้ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นในวันนี้ แต่ก็มีแนวโน้มทำสถิติร่วงลงในเดือนนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน โดยขณะนี้ดาวโจนส์ดิ่งลง 3.4% จากต้นเดือนนี้
ก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในวันนี้ ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดิ่งลงกว่า 200 จุด หลังจากที่ผลสำรวจพบว่า นายโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนำประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ในการดีเบตวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าหากนายไบเดนชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เขาจะยกเลิกมาตรการปรับลดอัตราภาษีของปธน.ทรัมป์ ด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จากเดิมที่ปธน.ทรัมป์ปรับลดจาก 35% สู่ระดับ 21% ในปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ทางด้านนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า เขาจะทำการเจรจาครั้งใหม่กับนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ในวันนี้ เกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นายมนูชินกล่าวว่า เขามีความหวังว่าเขาจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับนางเพโลซีในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
"เราจะใช้ความพยายามอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง และเรามีความหวังว่าเราจะประสบความสำเร็จ ซึ่งผมคิดว่าเราจะประนีประนอมกันได้" นายมนูชินกล่าว
ทางด้านนางเพโลซีแสดงความหวังเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงกับนายมนูชินเช่นกัน
นางเพโลซีระบุว่า พรรคเดโมแครตเสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ และทางพรรคก็มีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสบรรลุข้อตกลงกันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐที่สูงเกินคาด
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 749,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 650,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ADP ยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนในเดือนส.ค.สู่ระดับ 481,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่ระดับ 428,000 ตำแหน่ง
การจ้างงานในเดือนก.ย.ได้รับแรงหนุนจากภาคก่อสร้าง ภาคขนส่ง และภาคสาธารณูปโภค
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง 31.4% ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2490 หรือกว่า 70 ปีก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 สำหรับ GDP ประจำไตรมาส 2/2563 ดีกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ระบุว่าเศรษฐกิจหดตัวลง 31.7% และดีกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระบุว่าเศรษฐกิจหดตัวลง 32.9%
นอกจากนี้ การหดตัวของ GDP ในไตรมาส 2/2563 รุนแรงกว่าที่ได้หดตัว 10% ในไตรมาสแรกของปี 2501
การหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐทั้งในไตรมาส 1 และ 2 ของปีนี้ได้ทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
การทรุดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 2 ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล ซึ่งทำให้มีการปิดเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลข GDP ติดลบ นับตั้งแต่ที่มีการรายงานว่าเศรษฐกิจหดตัว 1.1% ในไตรมาส 1 ของปี 2557
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 30% ในไตรมาส 3/2563 ขณะที่รัฐบาลกลับมาเปิดเศรษฐกิจ และส่งผลให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นหลายล้านตำแหน่ง
หากเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 30% ในไตรมาส 3/2563 ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จะเป็นการทุบสถิติสูงสุดเดิมที่ทำไว้ที่ระดับ 16.7% ในไตรมาสแรกของปี 2493
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 3/2563 ในวันที่ 29 ต.ค. ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย.เพียง 5 วัน ซึ่งหากตัวเลข GDP ดังกล่าวออกมาแข็งแกร่งตามคาด ก็จะเอื้อประโยชน์ต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการครองทำเนียบขาวอีกสมัยหนึ่ง
ในปีที่แล้ว เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3.1% ในไตรมาส 1 และ 2.0% ในไตรมาส 2 ขณะที่เติบโต 2.1% ทั้งในไตรมาส 3 และ 4
นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.3% ในปี 2562 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยต่ำกว่าระดับ 2.9% ในปี 2561 และ 2.4% ในปี 2560 ซึ่งเป็นปีแรกในการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่เขาตั้งเป้าการขยายตัวรายปีของเศรษฐกิจสหรัฐไม่ต่ำกว่า 3% ในช่วงการดำรงตำแหน่ง 4 ปีของเขา