ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (30 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ และกลุ่มที่เกี่ยวกับผู้บริโภค ซึ่งปรับตัวลงท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,866.10 จุด ลดลง 31.40 จุด หรือ -0.53%
หุ้นกลุ่มน้ำมันร่วงลง โดยถูกกดดันจากการที่บริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์เตือนว่าการผลิตน้ำมันในไตรมาส 3 จะร่วงลงอย่างรุนแรงเนื่องจากการผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และพายุเฮอริเคนทำให้ต้องปิดแท่นผลิตนอกชายฝั่ง
หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ปิดร่วง 2.02% หลังดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 เดือน และหุ้นบีพี ลดลง 1.54%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดถูกกดดันในช่วงแรกจากการดีเบตรอบแรกระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายโจ ไบเดน เนื่องจากปธน.ทรัมป์ทำให้เกิดความวิตกว่า เขาอาจจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง หากเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่นายไบเดน
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกถ่วงลง หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ของอังกฤษเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษหดตัวลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 19.8% ในไตรมาส 2 ของปีนี้ แต่น้อยกว่าที่มีการคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะหดตัวลง 20.4%
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปหลังการแยกตัว (Brexit) และความวิตกเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นนั้น ได้ถ่วงตลาดหุ้นอังกฤษร่วงลงเกือบ 5% ในไตรมาส 3
อังกฤษรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่มากกว่า 7,000 รายเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน และประเทศยุโรปหลายแห่งพิจารณาคุมเข้มข้อจำกัดเพื่อพยายามที่จะควบคุมการแพร่ระบาดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว