ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) เป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยหุ้นแบงก์พุ่งขึ้นมากกว่า 3% หลังได้แรงหนุนจากความหวังที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ, ข้อตกลงการค้าหลัง Brexit และข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของเยอรมนี
ดัชนี Stoxx Europe 600 บวก 0.07% ปิดที่ 365.88 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,895.46 จุด เพิ่มขึ้น 23.59 จุด หรือ +0.48%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,906.02 จุด เพิ่มขึ้น 77.71 จุด หรือ +0.61% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,949.94 จุด เพิ่มขึ้น 7.00 จุด หรือ +0.12%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวตามตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวสุขภาพที่ดีขึ้นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังได้รับการรักษาอาการป่วยจากโรคโควิด-19 รวมทั้งยังได้แรงหนุนจากความคืบหน้าทางการเมืองในการผลักดันมาตรการกระตุ้นด้านการคลังของสหรัฐด้วย
นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลยอดสั่งซื้อสินค้าของเยอรมนีที่เพิ่มขึ้นเกินคาด 4.5% ในเดือนส.ค.ได้ช่วยหนุนตลาดด้วย โดยเพิ่มความหวังว่า เศรษฐกิจเยอรมนีจะแข็งแกร่งในไตรมาส 3 หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า อังกฤษและสหภาพยุโรป (EU) ใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับสิทธิด้านประกันสังคมสำหรับพลเมืองหลัง Brexit
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการ, กลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มรถยนต์ และกลุ่มประกัน ปรับตัวขึ้นตามกัน ที่ตลาดหุ้นเยอรมนี หุ้นดอยซ์ แบงก์ พุ่ง 5.71% และหุ้นโฟลคสวาเกน พุ่ง 2.06%, ที่ตลาดหุ้นฝรั่งเศส หุ้นโซซิเอเต เจเนอราล พุ่ง 6.71%, หุ้นเครดิต อากริโคล พุ่ง 5.23% และหุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ พุ่ง 5.02% และที่ตลาดหุ้นอังกฤษ หุ้นโรลส์-รอยซ์ พุ่ง 21.56% และหุ้น IAG เจ้าของสายการบินบริติช แอร์เวย์ พุ่ง 7.06%