ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (14 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า การแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นของโรคโควิด-19 จะทำให้มีการล็อกดาวน์มากขึ้น และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปหลังการแยกตัว (Brexit) นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายหุ้นด้วย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.09% ปิดที่ 370.62 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,941.66 จุด ลดลง 5.94 จุด หรือ -0.12%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,028.06 จุด เพิ่มขึ้น 9.07 จุด หรือ +0.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,935.06 จุด ลดลง 34.65 จุด หรือ -0.58%
ตลาดถูกกดดันจากแนวโน้มที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปจะดำเนินมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสัญญาณความล่าช้าเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย
นายจูเซปเป คอนเต นายกรัฐมนตรีอิตาลีได้ประกาศมาตรการใหม่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเพื่อจำกัดกิจกรรมต่างๆ ในการรวมตัวของประชาชน, ร้านอาหาร, กีฬา และโรงเรียน
เงินปอนด์ที่แข็งค่าถ่วงหุ้นกลุ่มส่งออกในตลาดหุ้นอังกฤษ ขณะที่อังกฤษและสหภาพยุโรป (EU) ยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าหลัง Brexit ขณะที่ EU จะประชุมสุดยอดในวันที่ 15-16 ต.ค.นี้เพื่อสรุปว่ายังมีความคืบหน้าไม่มากพอที่จะบรรลุข้อตกลง และจะเตรียมการสำหรับการแยกตัวของอังกฤษแบบไร้ข้อตกลง
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนที่ชะลอลงรุนแรงตามคาดในเดือนส.ค.
หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มเฮลธ์แคร์ และกลุ่มค้าปลีกนำตลาดปรับตัวลง โดยหุ้นเมิร์ค, หุ้นไฮเดลเบิร์กซีเมนต์ และหุ้นมิวนิค รี ที่ตลาดหุ้นเยอรมนี ร่วง 1.69%, 1.45% และ 1.24% ตามลำดับ, หุ้นแอร์บัส, หุ้นเวิลด์ไลน์และหุ้นเคอริ่ง ที่ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ร่วง 2.40%, 2.35% และ 1.56% ตามลำดับ และหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด, หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า และหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส ที่ตลาดหุ้นอังกฤษ ร่วง 4.47%, 3.15% และ 2.82% ตามลำดับ