ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (15 ต.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขคนว่างงานที่สูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ รวมทั้งการที่หลายประเทศในยุโรปประกาศมาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,494.20 จุด ลดลง 19.80 จุด หรือ -0.07% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,483.34 จุด ลดลง 5.33 จุด หรือ -0.15% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,713.87 จุด ลดลง 54.86 จุด หรือ -0.47%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลง หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 898,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 830,000 ราย หลังจากอยู่ที่ระดับ 845,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้
ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยล่าสุดแม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศความพร้อมที่จะเพิ่มวงเงินในมาตรการดังกล่าวสูงกว่าระดับ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อให้ทำเนียบขาวสามารถบรรลุข้อตกลงกับพรรคเดโมแครตได้สำเร็จ แต่นายมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของปธน.ทรัมป์ โดยเขาเห็นว่าวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์มีความเหมาะสมต่อการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับข่าวรัฐบาลอังกฤษประกาศยกระดับการเตือนภัยจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกรุงลอนดอนและเมืองลิเวอร์พูลตั้งแต่เที่ยงคืนวันนี้ ซึ่งส่งผลให้มีการปิดสถานประกอบการบางประเภท ขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศเคอร์ฟิวในกรุงปารีสและ 8 เมืองใหญ่เพื่อสกัดการแพร่ระบาดรอบ 2 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันศุกร์นี้ และจะต่อเนื่องไปเป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์
ดัชนีหุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง 1.5% หลังจากสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เปิดเผยรายได้ทรุดตัวลง 78% ในไตรมาส 3 ขณะที่ราคาหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ปิดตลาดดิ่งลง 3.82% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ลดลง 1.05% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ร่วงลง 1.35%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวลง 0.7% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับข่าวการระงับทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 โดยหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ร่วงลง 1.8% หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ลบ 0.4% หุ้นไฟเซอร์ ลดลง 0.87% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ปรับตัวลง 0.6%
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.17% และดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น 0.8% ซึ่งช่วยลดช่วงลบของตลาดในระหว่างวัน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวขึ้น 0.85% หุ้นเชฟรอน บวก 0.74% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 2.67% ส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคารนั้น หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 2.24% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 1.3% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 1.49%
หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 1.36% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.66 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.28 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 1.31% หลังมีข่าวว่า เวลส์ ฟาร์โก สั่งปลดพนักงานกว่า 100 คนที่มีพฤติกรรมฉ้อโกงเงินในโครงการปล่อยเงินกู้เพื่อบรรเทาภัยพิบัติของสำนักงานธุรกิจขนาดย่อม (SBA) ของสหรัฐ โดยพนักงานเหล่านี้กระทำการหลอกลวงด้วยการสมัครรับเงินจากโครงการดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีผลต่อภาวะการซื้อขายเมื่อคืนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ลดลงสู่ระดับ 10.5 ในเดือนต.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 12.3 จากระดับ 17.0 จุดในเดือนก.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนก.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน