ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการกำหนดมาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่หลังการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นของโรคโควิด-19 ทั่วยุโรป และนักลงทุนยังหมดหวังที่จะเห็นมาตรการกระตุ้นด้านการคลังของสหรัฐก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย.
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 2.08% ปิดที่ 362.91 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,837.42 จุด ร่วงลง 104.24 จุด หรือ -2.11%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,703.75 จุด ร่วงลง 324.31 จุด หรือ -2.49% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,832.52 จุด ร่วงลง 102.54 จุด หรือ -1.73%
ตลาดถูกกดดัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการดำเนินมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ในยุโรป โดยฝรั่งเศสกำหนดมาตรการเคอร์ฟิวส์ และประเทศยุโรปอื่นๆ สั่งปิดโรงเรียนเพื่อพยายามควบคุมการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของโรคโควิด-19 ก่อนถึงฤดูหนาว
รัฐบาลอังกฤษกำหนดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้นในกรุงลอนดอน ขณะที่นักลงทุนรอดูการประชุมสุดยอดของสหภาพยุโรปเป็นเวลา 2 วันซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาสัญญาณความคืบหน้าของข้อตกลงการค้าหลังอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
หุ้นกลุ่มรถยนต์, กลุ่มประกัน และกลุ่มพลังงาน ร่วงลงมากกว่า 2%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยไม่สนใจสัญญาณการควบรวมกิจการที่เพิ่มขึ้นในภาคธนาคาร หลังมีรายงานว่าธนาคารบันโก บีพีเอ็มของอิตาลีและธนาคารเครดิต อากริโคลของฝรั่งเศสได้ลงนามในข้อตกลงขั้นแรกที่จะนำไปสู่การเจรจาอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ
หุ้นโรชซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์ ร่วง 3.5% โดยถูกกดดันจากยอดขายยาที่ลดลง แม้เปิดเผยรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ในแผนกวินิจฉัยโรคก็ตาม
หุ้นไรอันแอร์ของไอร์แลนด์ ร่วง 4.3% หลังเปิดเผยว่าจะลดการให้บริการด้านการบินในฤดูหนาวลง 1 ใน 3 ส่วน เนื่องจากรัฐบาลยุโรปหลายแห่งกำหนดข้อจำกัดด้านการเดินทาง