ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทรุดตัวลงกว่า 900 จุดเมื่อคืนนี้ (28 ต.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้ประเทศต่างๆประกาศมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งสหรัฐ และความล่าช้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,519.95 จุด ร่วงลง 943.24 จุด หรือ -3.43% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,271.03 จุด ลดลง 119.65 จุด หรือ -3.53% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,004.87 จุด ลดลง 426.48 จุด หรือ -3.73%
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยสถานการณ์ในสหรัฐนั้น ข้อมูล่าสุดจาก Worldometer ระบุว่า ขณะนี้สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 9,039,170 ราย และมีผู้เสียชีวิต 232,101 ราย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในโลกทั้งในแง่ของยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต
ทางด้านรัฐบาลเยอรมนีและฝรั่งเศสประกาศยกระดับการคุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลังพบว่าอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วยุโรปพุ่งขึ้นเกือบ 40% ภายในเวลา 1 สัปดาห์ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในยุโรปมีมากกว่า 1.3 ล้านรายในช่วง 7 วันที่ผ่านมา โดยมีจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของตัวเลข 2.9 ล้านรายทั่วโลก และมีผู้เสียชีวิตกว่า 11,700 ราย ซึ่งพุ่งขึ้น 37% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้
หุ้นกลุ่มสายการบิน กลุ่มโรงแรม และกลุ่มเรือสำราญ ต่างพากันร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบใหม่ โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 4.59% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ร่วงลง 2.49% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ดิ่งลง 3.42% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ร่วงลง 7.42% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ทรุดลง 10.61% หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วงลง 3.7% หุ้นไฮแอท โฮเทลส์ คอร์ปอเรชั่น ร่วงลง 3.1% หุ้นฮิลตัน เวิลด์ไวด์ โฮลดิงส์ ร่วงลง 4.16%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 5% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 3.81% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.78% หุ้นอ็อคซินเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 4.2% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ดิ่งลง 4.8%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงก่อนที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิลและเฟซบุ๊กจะเปิดเผยผลประกอบการในวันนี้ โดยหุ้นแอมะซอนดอทคอม ดิ่งลง 3.76% หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 4.63% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 5.5% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 5.5%
หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 4.96% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของไมโครซอฟท์ หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2564 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แม้ว่ากำไรและรายได้ในไตรมาส 1/2564 ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย. 2563 จะออกมาสูงกว่าคาดก็ตาม
หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 4.57% หลังจากบริษัทประสบภาวะขาดทุนติดต่อกัน 4 ไตรมาส เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การผลิตเครื่องบินชะลอตัวลง รวมทั้งการที่เครื่องบินรุ่น 737 MAX ยังคงถูกสั่งห้ามบิน หลังจากที่เครื่องบิน 2 ลำของรุ่นดังกล่าวได้ประสบอุบัติเหตุในปี 2561 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 346 คน
ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความล่าช้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ โดยล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมายอมรับเองว่า สหรัฐอาจไม่สามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พ.ย.นี้ เนื่องจากทำเนียบขาวไม่สามารถประสานความคิดเห็นที่แตกต่างกับบรรดาสมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา และสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรส
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยนักลงทุนส่วนหนึ่งกังวลว่า หากนายโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง ก็อาจจะเกิดภาวะ "คลื่นสีน้ำเงิน" หรือ "Blue Wave" ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่พรรคเดโมแครตครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส ขณะที่นักลงทุนอีกส่วนหนึ่งกังวลว่า หากปธน.ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอีกครั้ง ก็อาจทำให้ข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงดำเนินต่อไป
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2563 (ประมาณการเบื้องต้น), ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.