ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 ต.ค.) และปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ต่างๆ หลังจากการเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ และความกังวลเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,501.60 จุด ลดลง 157.51 จุด หรือ -0.59%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,269.96 จุด ลดลง 40.15 จุด หรือ -1.21% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,911.59 จุด ลดลง 274.00 จุด หรือ -2.45%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลง 6.5%, ดัชนี S&P500 ร่วง 5.6% และดัชนี Nasdaq ร่วง 5.5% และในรอบเดือนต.ค. ดัชนีดาวโจนส์ ร่วงลง 4.6%, ดัชนี S&P500 ร่วง 2.8% และดัชนี Nasdaq ร่วง 2.3%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกกดดัน เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมา ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกิน 9 ล้านรายแล้ว ขณะที่แนวโน้มการคุมเข้มข้อจำกัดมากขึ้นเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในยุโรปนั้น ทำให้นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีความผันผวน (CBOE volatility index) แตะระดับสูงสุดในรอบ 20 สัปดาห์ ซึ่งเป็นสัญญานบ่งชี้ความวิตกของนักลงทุนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันอังคารหน้า
นอกจากนี้ นักลงทุนได้เทขายหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ๆ หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง โดยหุ้นแอปเปิล ร่วง 5.60% หลังเปิดเผยยอดขาย iPhone ลดลงรุนแรงที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากการเปิดตัวโทรศัพท์ระบบ 5G เป็นไปอย่างล่าช้า
หุ้นแอมะซอน ร่วง 5.45% หลังคาดว่าต้นทุนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 นั้นจะพุ่งสูงขึ้น ขณะที่หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 6.31% หลังเตือนเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการในปีหน้า
หุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 21.11% หลังรายงานว่า จำนวนผู้ใช้งานน้อยกว่าคาด และเตือนว่าการเลือกตั้งสหรัฐอาจกระทบรายได้จากการโฆษณา
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารได้แรงหนุนจากหุ้นอัลฟาเบท อิงค์ที่พุ่งขึ้น 3.80% หลังเปิดเผยยอดขายรายไตรมาสสูงเกินคาด เนื่องจากธุรกิจต่างๆ เริ่มกลับมาทำการโฆษณา
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งในสหรัฐ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังมีคะแนนนิยมตามหลังนายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตในโพลหลายสำนักมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว แต่คะแนนก็สูสีกันมากขึ้นในรัฐที่มีการแข่งขันมากที่สุดซึ่งอาจกำหนดผลการเลือกตั้ง
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.0% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนส.ค.
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดีดตัวขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.4% เช่นกันในเดือนส.ค.
ดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานดีดตัวขึ้น 1.5% ในเดือนก.ย.
ส่วนผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 81.8 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 81.2 จากระดับ 80.4 ในเดือนก.ย.