ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่ขยายตัวแข็งแกร่งทั่วโลก ซึ่งช่วยบดบังความวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้หลายประเทศในยุโรปต้องกลับมาดำเนินมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 1.61% ปิดที่ 347.86 จุด
ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,691.14 จุด เพิ่มขึ้น 96.90 จุด หรือ +2.11%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 11,788.28 จุด เพิ่มขึ้น 231.80 จุด หรือ +2.01% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,654.97 จุด เพิ่มขึ้น 77.70 จุด หรือ +1.39%
ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนหลังไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.8 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 27 เดือน จากระดับ 53.7 ในเดือนก.ย.
ดัชนี PMI ยังคงปรับตัวสูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตของยูโรโซนยังคงมีการขยายตัว โดยได้ขยายตัวติดต่อกัน 4 เดือน
ข้อมูล PMI จากจีนและสหรัฐบ่งชี้ถึงกิจกรรมการผลิตที่ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งด้วย ซึ่งหนุนหุ้นกลุ่มต่างๆ ที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มน้ำมันและก๊าซ, กลุ่มธนาคาร, กลุ่มประกัน และกลุ่มเคมีภัณฑ์
ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทด้วย ขณะที่นักลงทุนเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งของสหรัฐ โดยนายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตยังคงมีคะแนนนิยมนำหน้าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในโพลสำรวจความเห็นทั่วประเทศ แต่การแข่งขันในรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้งนั้นดูเหมือนจะเป็นไปอย่างสูสี
นักวิเคราะห์รายหนึ่งของบาร์เคลย์สกล่าวว่า หากไบเดนชนะการเลือกตั้งดูเหมือนจะเป็นประโยชน์กับยุโรปมากกว่าทรัมป์ชนะ เนื่องจากจะลดความไม่แน่นอนด้านการค้า, การมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นกับสหรัฐ และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นเพื่อสนับสนุนการค้า
หุ้นโอคาโด ซึ่งเป็นซูเปอร์มาเก็ตออนไลน์ของอังกฤษพุ่ง 8.0% หลังเปิดเผยว่าจะซื้อบริษัทหุ่นยนต์สองแห่ง และปรับเพิ่มแนวโน้มผลประกอบการทั้งปี
หุ้นโททาลของฝรั่งเศส พุ่ง 4.92% และหุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ พุ่ง 4.25%
หุ้นดอยซ์ แบงก์ของเยอรมนี พุ่ง 5.00% และหุ้นไฮเดลเบิร์กซีเมนต์ พุ่ง 4.85%