ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ โดยล่าสุดทะยานขึ้นกว่า 600 จุด จากคาดการณ์ที่ว่า นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ และพรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรสทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ
ณ เวลา 22.22 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,586.25 จุด บวก 661.20 จุด หรือ 2.46%
เนื่องจากสหรัฐเป็นประเทศขนาดใหญ่ และใช้โซนเวลาแตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละรัฐมีเวลาเปิดหีบและปิดหีบเลือกตั้งไม่เหมือนกัน โดยรัฐจอร์เจีย อินเดียนา เคนตั๊กกี เซาท์แคโรไลนา เวอร์มอนท์ และเวอร์จิเนีย เป็นรัฐกลุ่มแรกที่ปิดหีบเลือกตั้ง และเริ่มนับคะแนนเร็วที่สุดของสหรัฐ โดยตรงกับพรุ่งนี้เช้าเวลา 07.00 น.ตามเวลาไทย
นักวิเคราะห์ระบุว่า หากพรรคเดโมแครตประสบชัยชนะครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งวันนี้ โดยสามารถครองทำเนียบขาว รวมทั้งกวาดที่นั่งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะส่งผลดีที่สุดต่อตลาดหุ้น
ในวันนี้ นอกจากชาวสหรัฐที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว พวกเขายังจะทำการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภาจำนวน 435 คน และเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 1 ใน 3 ของทั้งหมด หรือจำนวน 33 คน จากทั้งหมด 100 คน โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะมีขึ้นทุก 4 ปี และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะมีขึ้นทุก 2 ปี
หากกระแส "Blue Wave" มาตามคาด ซึ่งจะทำให้นายไบเดนคว้าชัยชนะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และทำให้พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส ก็จะส่งผลให้พรรคเดโมแครตสามารถขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้อย่างราบรื่น หลังจากที่ถูกขัดขวางในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
"หากไบเดนชนะขาด และเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร นี่จะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตลาดหุ้น โดยจะเปิดทางให้สหรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยเยียวยาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19" นายลุคแมน โอทูนูกา นักวิเคราะห์อาวุโสจาก FXTM กล่าว
"แต่ถ้าหากไบเดนชนะ และรีพับลิกันยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ก็จะลดโอกาสที่สหรัฐจะสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และจะไม่ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโลกมากนัก" นายโอทูนูกากล่าว
นายโอทูนูกายังกล่าวว่า สำหรับในกรณีที่ปธน.ทรัมป์คว้าชัยชนะ และดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ก็จะส่งผลกระทบต่อแผนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การที่สหรัฐยังคงมีการสานต่อนโยบายก็จะช่วยหนุนตลาดหุ้นในระยะกลาง
ทางด้านนายพอล แซนฮู นักวิเคราะห์จากบีเอ็นพี พาริบาส์ กล่าวว่า ความเชื่อมั่นในตลาดได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า นายไบเดนจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ พรรคเดโมแครตเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่พรรครีพับลิกันเสนอวงเงินเพียง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ในการออกมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ดี แม้ผลการสำรวจของทุกสำนักต่างระบุตรงกันว่า นายไบเดนจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่คะแนนเสียงจากผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ และคะแนนเสียงจาก Swing State หรือ Battleground State ซึ่งเป็นรัฐที่ไม่ใช่ฐานเสียงของทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน อาจเป็นปัจจัยชี้ขาดผลการเลือกตั้งครั้งนี้
ทั้งนี้ 6 รัฐที่อยู่ในกลุ่ม Swing State ได้แก่ แอริโซนา ฟลอริดา มิชิแกน นอร์ทแคโรไลนา เพนซิลเวเนีย และวิสคอนซิน โดยทั้ง 6 รัฐดังกล่าวมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Votes) รวมกันมากถึง 101 เสียง ซึ่งผู้ที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 4-5 พ.ย. หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเพียงวันเดียว และการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์