ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 600 จุดในวันนี้ หลังมีข่าวว่า นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต เริ่มได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งที่มีการส่งทางไปรษณีย์
หากนายไบเดนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ และพรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากอย่างเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรสทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ก็จะส่งผลให้พรรคเดโมแครตสามารถขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้อย่างราบรื่น หลังจากที่ถูกขัดขวางในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ พรรคเดโมแครตเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่พรรครีพับลิกันเสนอวงเงินเพียง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ในการออกมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ณ เวลา 23.54 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 28,117.91 จุด บวก 637.88 จุด หรือ 2.32%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นในการซื้อขายวันนี้
สำนักข่าว NBC รายงานว่า ผลการนับคะแนนล่าสุด พบว่า คะแนนเสียงของนายไบเดนได้เริ่มแซงหน้าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในรัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นรัฐสำคัญใน Swing State หรือ Battleground State ซึ่งเป็นรัฐที่ไม่ใช่ฐานเสียงของทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน
ทั้งนี้ หลังจากมีการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งไปแล้ว 89% ปรากฎว่า นายไบเดนได้รับคะแนนเสียง 2,485,743 คะแนน หรือ 49.2% ขณะที่ปธน.ทรัมป์ได้รับ 2,478,801 คะแนน หรือ 49.1%
คะแนนเสียงที่เพิ่มขึ้นของนายไบเดนมาจากการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งที่มีการส่งทางไปรษณีย์
รัฐมิชิแกนมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง 16 เสียง โดยผู้ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะต้องได้รับ 270 เสียง
ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ แสดงความงงงวยต่อการตีตื้นขึ้นมาของคะแนนเสียงของนายไบเดน
"เมื่อคืนนี้ คะแนนเสียงของผมกำลังนำอยู่ในหลายรัฐที่สำคัญ โดยเกือบทั้งหมดเป็นรัฐที่พรรคเดโมแครตเคยชนะการเลือกตั้ง แต่แล้วคะแนนเสียงที่ผมเคยนำอยู่ก็ได้เริ่มหายไปทีละรัฐอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ขณะที่มีการนับบัตรเลือกตั้งที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
อย่างไรก็ดี สื่อได้ชี้ให้เห็นว่า ปธน.ทรัมป์ได้กล่าวอ้างอย่างผิดๆในข้อความที่มีการทวีตดังกล่าว เนื่องจากการที่นายไบเดนมีคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นในรัฐเพนซิลเวเนียและมิชิแกน มีสาเหตุจากการที่เจ้าหน้าที่ได้เริ่มนับคะแนนจากบัตรเลือกตั้งที่มีการส่งทางไปรษณีย์ หลังจากที่ได้เสร็จสิ้นการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งของผู้ที่มาหย่อนบัตรในคูหา
จากการสำรวจพบว่า ผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตมักนิยมลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ ในขณะที่สมาชิกพรรครีพับลิกันนิยมไปลงคะแนนที่คูหาเลือกตั้ง
นอกจากนี้ สำนักพนันหลายแห่งพากันปรับราคาต่อรองการคว้าชัยชนะของนายไบเดน หลังล่าสุดพบว่าคะแนนเสียงได้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการนับคะแนนบัตรเลือกตั้งที่มีการส่งทางไปรษณีย์
ขณะนี้ คะแนนเสียงของนายไบเดนได้เพิ่มขึ้นในรัฐที่เป็น Swing State ส่งผลให้ตลาดพนันบางแห่งให้โอกาสนายไบเดนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้สูงถึง 70%
แม้ว่าคะแนนเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ตีตื้นขึ้นมาในระยะแรก แต่พรรคเดโมแครตก็ได้เริ่มแสดงความมั่นใจเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี
นายเทอร์รี แมคออลิฟฟ์ อดีตผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย กล่าวว่า "โจ ไบเดนจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป" พร้อมกับเชิญชวนให้สมาชิกพรรครีพับลิกันไปพนันผลการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ หลังจากที่คะแนนเสียงของนายไบเดนได้ไหลเข้ามาในรัฐวิสคอนซิน และมิชิแกน OddsChecker ก็ได้เพิ่มโอกาสที่นายไบเดนจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง โดยปรับราคาต่อรองอยู่ที่ 1/2 ขณะที่ BetOnline ให้ราคาต่อรองของนายไบเดนที่ -330 ขณะที่ปธน.ทรัมป์อยู่ที่ +275
นอกจากนี้ Smarkets ได้ปรับราคาต่อรองให้นายไบเดนกลับมาเป็นต่อปธน.ทรัมป์เป็นครั้งแรก โดยให้โอกาสที่นายไบเดนจะคว้าชัยชนะสูงถึง 59% หลังจากที่ก่อนหน้านี้ให้ปธน.ทรัมป์มีโอกาสชนะมากถึง 80%
นายซาร์บจิต บาคห์ชี หัวหน้าฝ่ายตลาดการเมืองของ Smarkets กล่าวว่า "ขณะนี้มีแนวโน้มว่านายไบเดนจะคว้าชัยชนะในรัฐมิชิแกนและวิสคอนซิน ส่งผลให้โอกาสที่ปธน.ทรัมป์จะคว้าชัยชนะลดลงเหลือ 41% ทำให้นายไบเดนมีโอกาสมากกว่าปธน.ทรัมป์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เมื่อวานนี้ และขณะนี้เขามีโอกาสชนะการเลือกตั้งมากถึง 59%"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จากการนับคะแนนเลือกตั้งทั่วประเทศล่าสุด นายไบเดนยังคงมีคะแนนนำปธน.ทรัมป์ โดยได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง 238 เสียง ขณะที่ปธน.ทรัมป์ได้ 213 เสียง โดยผู้ที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะต้องได้รับ 270 เสียง
นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 530,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 7.7%