ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 พ.ย.) เนื่องจากข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ยังคงจูงใจให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เนื่องจากความคืบหน้าของวัคซีนยังคงทำให้เกิดแรงเทขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเคยได้อานิสงส์จากการที่ประชาชนต้องทำงานที่บ้านในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,420.92 จุด เพิ่มขึ้น 262.95 จุด หรือ +0.90% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,553.86 จุด ลดลง 159.93 จุด หรือ -1.37% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,545.53 จุด ลดลง 4.97 จุด หรือ -0.14%
ดัชนีดาวโจนส์ยังคงได้รับปัจจัยบวกหลังจากบริษัทไฟเซอร์ และ BioNTech ประกาศว่า ผลการทดลองบ่งชี้ว่าวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งทั้งสองบริษัทพัฒนาร่วมกัน มีประสิทธิภาพมากกว่า 90% ในการป้องกันไวรัสสำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน และบริษัทจะจดทะเบียนวัคซีนต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ในสัปดาห์หน้า และคาดว่าจะมีการผลิตวัคซีน 50 ล้านโดสภายในปีนี้ และ 1,300 ล้านโดสในปีหน้า
ความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มค้าปลีก และกลุ่มอุตสาหกรรม โดยหุ้นโฮม ดีโปท์ พุ่งขึ้น 2.11% หุ้นนอร์ดสตรอม ทะยานขึ้น 9.78% หุ้นเมซีส์ อิงค์ บวก 0.78% หุ้นโคห์ลส์ คอร์ป พุ่งขึ้น 1.16% ส่วนหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 5.20% หุ้น 3M พุ่งขึ้น 3.49% หุ้นแคทเธอร์พิลลา บวก 0.89% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) พุ่งขึ้น 3.04%
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 4.64% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดีดขึ้น 1.07%
หุ้นอิไล ลิลลี่ แอนด์ โค (Eli Lilly & Co) พุ่งขึ้น 2.97% หลังจากคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ได้อนุมัติให้ใช้แอนติบอดีของบริษัทอิไล ลิลลี่ ในการรักษาโรคโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน (emergency use authorization -EUA) โดยแอนติบอดี "Bamlanivimab" ของอิไล ลิลลี่ ได้รับการยอมรับว่าสามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารร่วงลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากความคืบหน้าของวัคซีนต้านโควิด-19 ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มดังกล่าว โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.27% หุ้นแอมะซอนดอทคอม ดิ่งลง 3.46% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 3.38% หุ้น Zoom Video Communications ดิ่งลง 9.01% หุ้น Nvidia ร่วงลง 6.31%
นักวิเคราะห์จากบริษัทลูโฮลด์ กรุ๊ป ในรัฐมินเนอาโพลิส กล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายในขณะนี้เป็นไปในลักษณะ หมุนเวียนกลุ่มลงทุน (sector rotation) โดยนักลงทุนหันไปซื้อหุ้นที่เชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ท่ามกลางความหวังที่ว่า ความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 จะนำไปสู่การผลิตในไม่ช้านี้ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและทำให้ประชาชนสามารถออกไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขณะเดียวกันนักลงทุนมองว่า หุ้นกลุ่มที่เคยได้ประโยชน์จากสถานการณ์ work from home เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดนั้น อาจเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าในอนาคต จึงทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การเมืองในสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้แนะนำไม่ให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ขณะที่นายมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐยืนยันว่า ปธน.ทรัมป์มีสิทธิ์ 100% ในการตั้งคำถามเกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง แม้นายโจ ไบเดน ได้ออกมาประกาศชัยชนะแล้วก็ตาม
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน