ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐ จนทำให้หลายรัฐประกาศใช้มาตรการเคอร์ฟิวเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq พลิกกลับมาปิดตลาดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,397.63 จุด ลดลง 23.29 จุด หรือ -0.08% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,572.66 จุด เพิ่มขึ้น 27.13 จุด หรือ +0.77% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,786.43 จุด เพิ่มขึ้น 232.57 จุด หรือ +2.01%
ดัชนีดาวโจนส์อ่อนแรงลงหลังจากมีรายงานว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนขณะนี้ยอดรวมผู้ติดเชื้อมีจำนวนสูงถึง 10,568,714 ราย และมีผู้เสียชีวิต 245,943 ราย ซึ่งทำให้หลายรัฐในสหรัฐ รวมถึงแคลิฟอร์เนีย ประกาศมาตรการเคอร์ฟิวเพื่อจำกัดเวลาการอยู่นอกบ้านของประชาชน ขณะที่ผู้ว่าการรัฐเนวาดาได้เรียกร้องให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ส่วนในนิวยอร์กซิตี้ประกาศเคอร์ฟิวเพื่อควบคุมเวลาในการเปิดให้บริการของผับบาร์และภัตตาคาร
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 และการใช้มาตรการเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดในสหรัฐ ได้บดบังปัจจัยบวกจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ข่าวความคืบหน้าของวัคซีนเป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
หุ้นไฟเซอร์ ปรับตัวลง 0.47% หุ้น BioNTech ดิ่งลง 2.94% หุ้นอิไล ลิลลี่ ร่วงลง 1.23% เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากราคาหุ้นของทั้ง 3 บริษัทพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19
หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มธุรกิจเรือสำราญร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ร่วงลง 2.75% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 3.85% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ ทรุดลง 5.45% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ร่วงลง 3.05% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ดิ่งลง 3.92%
หุ้นอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้ง ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปรับตัวลง 0.3% หลังมีรายงานว่า รัฐบาลจีนเตรียมออกมาตรการกำกับดูแลอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เข้ามาผูกขาดตลาดจนทำให้บริษัทขนาดเล็กไม่สามารถแข่งขันได้ โดยคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง อาลีบาบา และเทนเซ็นต์
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.48% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 1.14% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงจากแรงขายทำกำไร โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.03% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.73% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 1.39%
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารดีดตัวขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 2.63% หุ้นทวิตเตอร์ พุ่งขึ้น 2.88% หุ้นเฟซบุ๊ก บวก 1.49% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 2.19% หุ้นแอมะซอน พุ่งขึ้น 3.37% หุ้น Zoom Video Communications ทะยานขึ้น 9.93%
นักวิเคราะห์จากบริษัทเมอร์เซอร์ แอดไวเซอร์ ในรัฐโคโลราโด กล่าวว่า นักลงทุนยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มตลาด และคาดหวังปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ซึ่งได้แก่ การเปลี่ยนผ่านตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเป็นไปอย่างราบรื่น วัคซีนที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ซึ่งมีแนวโน้มว่าพรรครีพับลิกันและเดโมแครตจะมีมุมมองที่สอดคล้องกันในเรื่องนี้ นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, อัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน