ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (20 พ.ย.) เนื่องจากการพุ่งขึ้นของราคาหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ได้ช่วยหนุนตลาด แม้นักลงทุนยังคงมีความวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.52% ปิดที่ 389.61 จุด
ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,495.89 จุด เพิ่มขึ้น 21.23 จุด หรือ +0.39%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,137.25 จุด เพิ่มขึ้น 51.09 จุด หรือ +0.39% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,351.45 จุด เพิ่มขึ้น 17.10 จุด หรือ +0.27%
ตลาดได้แรงหนุนจากการที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่พุ่งขึ้น หลังจากที่ราคาโลหะทะยานขึ้นรับอุปสงค์ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในจีน และจากแนวโน้มภาวะชะงักงันด้านอุปทาน โดยหุ้นเกล็นคอร์ พุ่ง 2.43%, หุ้นบีเอชพี บวก 1.49%, หุ้นแอนโทฟากัสต้า พุ่ง 3.46% และหุ้นริโอ ทินโต บวก 1.21%
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซปรับตัวขึ้นด้วย หลังราคาน้ำมันดิบได้แรงหนุนจากข่าวความคืบหน้าในการทดลองวัคซีนต้านโรคโควิด-19
หุ้นเชลล์ บวก 1.53% และหุ้นบีพี เพิ่มขึ้น 0.53%
นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นจากความหวังว่าวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี แถลงว่า ทางบริษัทเตรียมยื่นเรื่องต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ในวันนี้ เพื่อขออนุมัติการใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของทางบริษัทเป็นกรณีฉุกเฉิน
หาก FDA ให้การอนุมัติ ก็จะส่งผลให้ไฟเซอร์สามารถทยอยใช้วัคซีนดังกล่าวกับชาวอเมริกันกลุ่มต่างๆ โดยกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ จะได้รับการฉีดวัคซีนก่อน ขณะที่กลุ่มผู้ให้บริการในภาคส่วนที่สำคัญ ครูอาจารย์ คนจรจัด และนักโทษในเรือนจำ จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มต่อไป ตามมาด้วยกลุ่มเด็กและวัยรุ่น