ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (23 พ.ย.) ขานรับความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งรวมถึงวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เตรียมเสนอชื่อนางเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,591.27 จุด เพิ่มขึ้น 327.79 จุด หรือ +1.12% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,577.59 จุด เพิ่มขึ้น 20.05 จุด หรือ +0.56% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,880.63 จุด เพิ่มขึ้น 25.66 จุด หรือ +0.22%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก โดยดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนไหวในแดนบวกตลอดทั้งวัน หลังจากมีข่าวความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 โดยล่าสุดแอสตร้าเซนเนก้าเปิดเผยว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งทางบริษัทพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดมีประสิทธิภาพ 90% ในการป้องกันไวรัสโควิด-19 หลังจากที่บริษัทระบุว่าก่อนหน้านี้ว่า ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่าวัคซีนมีค่าประสิทธิภาพเฉลี่ย 70%
ทางด้านไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี ได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) เมื่อวันศุกร์ เพื่อขออนุมัติการใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของทางบริษัทเป็นกรณีฉุกเฉิน ขณะเดียวกันมีรายงานว่า FDA ได้ให้การอนุมัติการใช้แอนติบอดีของ Regeneron ในการรักษาโรคโควิด-19 ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เคยได้รับก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า นายไบเดนเตรียมเสนอชื่อนางเยลเลนให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ โดยนางเยลเลนเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้ทำการรายงานสรุปเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจให้นายไบเดนรับทราบนับตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ผ่านมา เมื่อนายไบเดนตอบรับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
ความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบิน และกลุ่มอุตสาหกรรม โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ทะยานขึ้น 8.22% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 2.58% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 4.47% ส่วนหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 5.97% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดีดตัวขึ้น 1.49% หุ้น 3M บวก 0.72%
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน WTI โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 6.55% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 6.1% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทะยานขึ้น 8.9% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 7.7%
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 2.88% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 2.16% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 3.19% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.45% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ทะยานขึ้น 4.26%
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 6.5% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทเวดบุชคาดการณ์ว่า ราคาหุ้นของเทสลามีแนวโน้มทะยานขึ้นแตะระดับ 1,000 ดอลลาร์ รวมทั้งปัจจัยบวกจากการที่หุ้นของบริษัทเทสลาจะถูกรวมในการคำนวณดัชนี S&P500 ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่เป็นปัจจัยหนุนตลาดเมื่อคืนนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 57.9 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 68 เดือน จากระดับ 56.3 ในเดือนต.ค. โดยดัชนี PMI อยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว ทั้งภาคการผลิตและบริการ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ราคาบ้านเดือนก.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2563 (ประมาณการครั้งที่ 2), รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนต.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนต.ค., ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC)