ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (16 ธ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศษฐกิจที่ซบเซา อย่างไรก็ดี ดาวโจนส์ขยับลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เนื่องจากนักลงทุนขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ต่อไปจนกว่าเฟดจะบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,154.54 จุด ลดลง 44.77 จุด หรือ -0.15% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,658.19 จุด เพิ่มขึ้น 63.13 จุด หรือ +0.50% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,701.17 จุด เพิ่มขึ้น 6.55 จุด หรือ +0.18%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาเป็นปัจจัยฉุดดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.ร่วงลง 1.1% ในเดือนพ.ย ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการที่ภาคครัวเรือนมีรายได้ลดลง เนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนมากประสบภาวะตกงาน
ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนธ.ค.ของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 56.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 56.7 ในเดือนพ.ย. ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนธ.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 55.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.4 ในเดือนพ.ย.
อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq และดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนบวก หลังจากที่ประชุมเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% พร้อมระบุว่า เฟดจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2%
ทั้งนี้ เฟดให้คำมั่นว่า จะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะดำเนินการไปจนกระทั่งบรรลุเป้าหมายในการจ้างงานเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพของราคา
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 2.41% หุ้นทวิตเตอร์ พุ่งขึ้น 2.32% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ บวก 0.97% หุ้นแอมะซอน พุ่งขึ้น 2.4% หุ้นอินเทล บวก 0.9%
แต่หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ปรับตัวลง 0.22% หลังจากอัยการรัฐเท็กซัสประกาศว่าจะยื่นฟ้องบริษัทอัลฟาเบทกรณีละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาด
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่ร่วงลงหนักสุดถึง 1.15% เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาหุ้นพุ่งแรงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยหุ้นพีจีแอนด์อี คอร์ปอเรชั่น ร่วงลง 1.07% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ ดิ่งลง 1.7% หุ้นเฟิร์สท์เอนเนอร์จี ร่วงลง 1.56%
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของสายการบินหลายแห่งในสหรัฐ โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 3.08% หุ้นเจ็ทบลู แอร์เวย์ส ร่วงลง 1.15% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ลดลง 0.88% หุ้นสปิริท แอร์ไลน์ ร่วงลง 1.95% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ร่วงลง 1.49%
นักลงทุนจับตาการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยล่าสุดนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า แกนนำในสภาคองเกรสมีความคืบหน้าในการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งการออกกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลอันเนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณ (ชัตดาวน์)
ทั้งนี้ หากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ก็จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลเผชิญภาวะชัตดาวน์ในวันที่ 19 ธ.ค. และชาวอเมริกันที่ตกงานจะไม่ได้รับเงินชดเชยจากสวัสดิการว่างงานในวันที่ 26 ธ.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนธ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนพ.ย.จาก Conference Board