ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (18 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไร หลังจากดัชนีดาวโจนส์, ดัชนี S&P500 และ ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงเปิดตลาด โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี S&P500 ถ่วงตลาดลงมากที่สุดหลังจากที่นำตลาดปรับตัวขึ้นในสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังชะลอการเข้าซื้อหุ้น ขณะจับตารอสภาคองเกรสอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,179.05 จุด ลดลง 124.32 จุดหรือ -0.41%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,709.41 จุด ลดลง 13.07 จุด หรือ -0.35% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,755.64 จุด ลดลง 9.11 จุด หรือ -0.07%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ บวก 0.4%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.3% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 3.1%
ตลาดถูกกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการทำข้อตกลงกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 โดยมีแนวโน้มมากขึ้นที่สภาคองเกรสสหรัฐจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่วงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์ได้ทันกำหนดเส้นตายในวันศุกร์นี้ แต่อาจจะอนุมัติกฎหมายงบประมาณชั่วคราวฉบับที่ 3 แทน เพื่อให้รัฐบาลสหรัฐสามารถดำเนินงานต่อไปได้โดยไม่ต้องชัตดาวน์หลังเที่ยงคืนวันศุกร์
อย่างไรก็ตาม นายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภากล่าวว่า แกนนำในสภาคองเกรสใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว โดยการเจรจาอาจดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในช่วงสุดสัปดาห์นี้
หุ้นเทสลาปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด โดยพุ่งขึ้น 5.96% หลังปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์และมีปริมาณการซื้อขายหนาแน่น เนื่องจากได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า หุ้นเทสลาจะได้รับการคำนวณรวมในดัชนี S&P500 ในวันจันทร์ที่ 21 ธ.ค.นี้ ซึ่งเทสลาจะเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหุ้นสูงสุดที่ถูกรวมในดัชนีดังกล่าว
ภาวะซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างผันผวน และมีปริมาณการซื้อขายหนาแน่น เนื่องจากวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น ตรงกับวัน quadruple witching ซึ่งเป็นวันครบกำหนดส่งมอบออปชั่นและสัญญาล่วงหน้ารายไตรมาสของหุ้นและดัชนีต่างๆ พร้อมกัน ซึ่งทำให้เป็นวันที่มีการซื้อขายที่คึกคักมากที่สุดวันหนึ่งของปีนี้
หุ้นเฟดเอ็กซ์ คอร์ป ร่วง 5.71% หลังจากที่ไม่ได้คาดการณ์ผลประกอบการในปี 2564 แม้ผลกำไรรายไตรมาสของเฟดเอ็กซ์เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าก็ตาม โดยเฟดเอ็กซ์รายงานผลกำไรที่ระดับ 4.83 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.01 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่รายได้ของเฟดเอ็กซ์อยู่ที่ระดับ 2.06 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.945 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ Conference Board รายงานว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ปรับตัวขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ย. โดยดีดตัวขึ้น 7 เดือนติดต่อกัน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% โดยการปรับตัวขึ้นของดัชนี LEI ซึ่งถือเป็นสิ่งบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐนั้น ได้แรงหนุนจากการลดลงของตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงาน และการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่, ตัวเลขการอนุญาตสร้างบ้าน และการดีดตัวของตลาดหุ้น