ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ฟื้นตัว หลังจากร่วงลงในช่วงแรกจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังไม่ลงนามในร่างกฎหมายว่าด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์
ณ เวลา 21.07 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 74 จุด หรือ 0.25% สู่ระดับ 29,986 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลง 200 จุดเมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังไม่ลงนามในร่างกฎหมายว่าด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์ จะส่งผลกระทบต่อการดีดตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทที่มักเกิดขึ้นในช่วงสิ้นปี หรือที่เรียกว่า "ซานต้า แรลลี่"
ซานต้า แรลลี่ของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
จากการรวบรวมสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นนิวยอร์กช่วง 7 วันของซานต้า แรลลี่ พบว่า ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดในแดนบวกถึง 78% นับตั้งแต่ปี 2471 หรือในช่วงเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ยังไม่ยอมลงนามในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยอ้างว่าต้องการให้มีการเพิ่มจำนวนเงินในเช็คเงินสดที่จะแจกจ่ายให้กับชาวอเมริกันจาก 600 ดอลลาร์ เป็น 2,000 ดอลลาร์ และให้มีการตัดงบรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกจากมาตรการดังกล่าว
"ทรัมป์ได้ทำลายความหวังเกี่ยวกับการใช้มาตรการทางการคลังของสหรัฐ โดยปฏิเสธที่จะลงนามในมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 วงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์ หลังผ่านการเจรจาอย่างยาวนานระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ดังนั้น ความหวังของการมี 'ซานต้า แรลลี่' ก็ได้ถูกทรัมป์ปล้นไป" นักวิเคราะห์จากมิซูโฮระบุในรายงาน
สำหรับในขั้นตอนต่อไป สภาคองเกรสอาจนำร่างกฎหมายดังกล่าวกลับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข แต่ถ้าสภาคองเกรสไม่ดำเนินการดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ก็จะมี 3 ทางเลือก คือ ลงนามในร่างกฎหมายนี้เพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย, ใช้สิทธิวีโต้ หรือไม่ดำเนินการใดๆ ซึ่งจะทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังระบุว่า "ซานต้า แรลลี่" อาจจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้หลายประเทศต้องกลับมาทำการล็อกดาวน์รอบใหม่
ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกมากกว่า 78 ล้านราย โดยผู้ติดเชื้อในสหรัฐมีมากกว่า 18 ล้านราย
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้ประกาศยกระดับมาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 สู่ระดับ tier 4 จากเดิมที่ระดับ tier 3 ซึ่งจะใกล้เคียงกับมาตรการล็อกดาวน์ที่เคยประกาศใช้เมื่อเดือนพ.ย. หลังพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่เชื้อรวดเร็วกว่าเดิมถึง 70% ซึ่งส่งผลให้หลายประเทศประกาศระงับเที่ยวบินจากอังกฤษ
นักวิเคราะห์ยังระบุว่า การที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นอย่างมากในเดือนพ.ย.และต้นเดือนธ.ค. ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ "ซานต้า แรลลี่" อาจไม่เกิดขึ้นในปีนี้ เนื่องจากตลาดได้เข้าสู่ภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไปแล้ว
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 10.9% ในเดือนพ.ย. ทำสถิติเป็นเดือนพ.ย.ที่ดัชนีพุ่งขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของวอลล์สตรีท
ส่วนในเดือนธ.ค.นี้ ราคาหุ้นราว 76% ในดัชนี S&P 500 ได้ดีดตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยรอบ 50 วัน ซึ่งบ่งชี้ว่าดัชนีอยู่ในภาวะ overbought เป็นอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดเกิดการพักฐานในช่วงท้ายปี
ขณะเดียวกัน ผลการสำรวจของแบงก์ ออฟ อเมริกา ยังพบว่า ผู้จัดการกองทุนได้ทำการลงทุนใกล้เต็มพอร์ทแล้ว และนักลงทุนสถาบันได้ลดการถือเงินสดในพอร์ทเหลือเพียง 4% จาก 6% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการส่งสัญญา "ขาย" และบ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 จะร่วงลง 3.2% ในเดือนม.ค.2564