ดาวโจนส์ทรุดกว่า 500 จุด ใกล้หลุดแนว 30,000 ขณะจับตาการเมืองสัปดาห์นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 4, 2021 23:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดร่วงลงกว่า 500 จุด ใกล้หลุดระดับ 30,000 จุด ในการซื้อขายวันแรกของปีนี้ ขณะที่นักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในปีที่แล้ว

นอกจากนี้ นักลงทุนวิตกต่อการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ยังคงมีการแพร่ระบาด แม้มีการฉีดวัคซีนในหลายประเทศ

ณ เวลา 23.33 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 30,065.51 จุด ลบ 540.97 จุด หรือ 1.77%

เมื่อพิจารณาทั้งปี 2563 ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัว 7.3% ขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 16.3% ส่วนดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 43.6% ทำสถิติพุ่งขึ้นมากที่สุดภายในปีเดียวนับตั้งแต่ปี 2552 จากการที่นักลงทุนแห่ซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวอย่างผันผวนในปีที่แล้ว โดยได้ทรุดตัวลงอย่างหนักในเดือนก.พ.และมี.ค. ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้หลายประเทศประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาด แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกทรุดตัวลงอย่างหนัก

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้ฟื้นตัวขึ้นหลังจากนั้น โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้มาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน พร้อมกับอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าตลาด เพื่อช่วยเหลือเยียวยาชาวสหรัฐและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงท้ายปี

นักวิเคราะห์คาดว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะยังคงปรับตัวขึ้นในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการเงินและการคลังของสหรัฐ รวมทั้งการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในวงกว้าง

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ขณะนี้หลายประเทศได้เริ่มฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 แต่การกลายพันธุ์ของไวรัสก็ได้ทำให้การแพร่ระบาดเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยล่าสุดทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 85.5 ล้านราย เสีนชีวิตกว่า 1.8 ล้านราย ขณะที่สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อกว่า 21 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 360,000 ราย

นายแมทท์ แฮนค็อก รมว.สาธารณสุขอังกฤษ กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้มีความเสี่ยง และสร้างความกังวลมากกว่าสายพันธุ์ที่พบในอังกฤษ

ทางด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ถึงแม้ว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่มีการแพร่ระบาดที่รวดเร็วขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ไวรัสมีความรุนแรงมากขึ้น และคาดว่าวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค รวมทั้งแอสตร้าเซนเนก้า/มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดจะสามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ศจ.จอห์น เบลล์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้มีความน่าวิตก เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ในหลายด้าน และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในโครงสร้างโปรตีนของไวรัส

ศจ.เบลล์กล่าวว่า ยังคงมีคำถามว่า วัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค รวมทั้งแอสตร้าเซนเนก้า/มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดจะไร้ประสิทธิภาพในการรับมือต่อการกลายพันธุ์ดังกล่าวหรือไม่

ศจ.เบลล์เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดกำลังวิจัยผลกระทบจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีต่อวัคซีนในขณะนี้ แต่เขาเชื่อว่าวัคซีนดังกล่าวยังคงสามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อังกฤษ แต่เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพต่อสายพันธุ์แอฟริกาใต้

นักลงทุนจับตาการเมืองสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยรัฐจอร์เจียจะจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสองในวันพรุ่งนี้ ขณะที่สภาคองเกรสเตรียมประกาศชื่อผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันพุธ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต ต่างเดินทางไปยังรัฐจอร์เจียในวันนี้ เพื่อรณรงค์หาเสียงสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสอง ซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้

การเลือกตั้งดังกล่าวถือเป็นเกมการเมืองที่มีเดิมพันสูงสำหรับพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน โดยจะตัดสินว่าพรรคใดสามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา

หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ ก็จะทำให้ทางพรรคสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร และเอื้อต่อการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐภายใต้รัฐบาลของนายไบเดน หลังจากที่ถูกขัดขวางในสมัยของปธน.ทรัมป์

ขณะนี้ นายเคลลี ลอฟเฟลอร์ และนายเดวิด เพอร์ดิว จากพรรครีพับลิกัน ครองตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในรัฐจอร์เจีย ซึ่งหากทั้งสองสามารถรักษาเก้าอี้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็จะทำให้พรรครีพับลิกันยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาต่อไป ด้วยคะแนนเสียง 52 ต่อ 48 เสียง

อย่างไรก็ดี ถ้าหากนายลอฟเฟลอร์ และนายเพอร์ดิว พ่ายแพ้ให้แก่นายราฟาเอล วอร์นอค และนายโจน ออสซอฟฟ์ ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ทางพรรคเดโมแครตก็จะสามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา โดยมีคะแนนเสียง 50 ต่อ 50 เสียง รวมกับอีก 1 เสียงจากนางคามาลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะใช้สิทธิลงคะแนนเสียงดังกล่าวในฐานะประธานวุฒิสภาเพื่อชี้ขาดในกรณีที่วุฒิสมาชิกลงคะแนนเสียงเท่ากันในญัตติใดญัตติหนึ่ง

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภารอบสองในรัฐจอร์เจียจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.2563

พรรคเดโมแครตมีโอกาสที่จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งวุฒิสภาในรัฐจอร์เจียในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่นายไบเดนสามารถชนะการเลือกตั้งในรัฐดังกล่าวในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว โดยสามารถทำลายสถิติการผูกขาดชัยชนะของพรรครีพับลิกันเป็นเวลาหลายสมัย

นอกจากนี้ ชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลกกำลังจับตาสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งจะทำการประกาศชื่อผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันพุธนี้

ทั้งนี้ สภาคองเกรสจะจัดการประชุมร่วมวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 6 ม.ค.เพื่อนับผลคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีจากคณะผู้เลือกตั้ง โดยรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ในฐานะประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง จะเป็นประธานการประชุมดังกล่าว และจะเป็นผู้ประกาศผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ โดยผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งไม่น้อยกว่า 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ก่อนที่จะเข้าทำพิธีสาบานตนในวันที่ 20 ม.ค.

ที่ผ่านมา การนับคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีจากคณะผู้เลือกตั้งในสภาคองเกรสมักไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากผู้ที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐมักจะยอมรับความพ่ายแพ้หลังการเลือกตั้ง แต่ไม่ใช่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีความพยายามที่จะขัดขวางการประกาศให้นายโจ ไบเดนเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง โดยอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้ง แม้ไม่มีหลักฐานยืนยันแต่อย่างใด

ล่าสุด สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ 11 รายจากพรรครีพับลิกัน ภายใต้การนำของนายเท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส ได้รวมตัวกันประกาศจุดยืนคัดค้านการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายไบเดน พร้อมกับเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการโกงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยสมาชิกวุฒิสภาดังกล่าวเตรียมออกเสียงคัดค้านในวันพุธนี้ในการประชุมร่วมของสภาคองเกรส ซึ่งจะมีการนับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 57.1 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2557 จากระดับ 56.7 ในเดือนพ.ย.

ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัวของภาคการผลิตของสหรัฐ โดยปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8

ดัชนี PMI ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจดีดตัวขึ้น โดยคาดว่าการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในวงกว้างจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นในปีนี้

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนพ.ย.

เมื่อเทียบรายปี การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 3.8% ในเดือนพ.ย.

การใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนพ.ย. ขณะที่การใช้จ่ายในโครงการภาคสาธารณะลดลง 0.2%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ