ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ปรับตัวขึ้นหลังจากที่มีการเปิดเผยยอดค้าปลีกที่สูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนธ.ค. ซึ่งได้ช่วยบดบังความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับการประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบใหม่ในอังกฤษเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,612.25 จุด เพิ่มขึ้น 40.37 จุด หรือ +0.61%
ตลาดได้แรงหนุน หลังจากนายริชิ ซูแนค รมว.คลังของอังกฤษประกาศแผนที่จะให้ความช่วยเหลือต่อไปกับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบใหม่แล้ว เพื่อควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นและกำลังคุกคามระบบสาธารณสุขของอังกฤษอย่างรุนแรงในขณะนี้ โดยคำสั่งดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ในทันที
นายจอห์นสันได้ออกแถลงการณ์ซึ่งมีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในวันจันทร์ (4 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นว่า ขอให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน และจะออกนอกบ้านได้ก็ต่อเมื่อต้องซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องปิดทำการ นอกจากนี้ ร้านค้าที่ไม่จำเป็น และธุรกิจบริการที่พักอาศัยจะต้องปิดทำการเช่นกัน
นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับรายงานยอดขายสินค้าของห้างสรรพสินค้าในอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนธ.ค. โดยมีมูลค่าถึง 1.17 หมื่นล้านปอนด์ (1.59 หมื่นล้านดอลลาร์)
หุ้นมอร์ริสันส์ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของอังกฤษ ปรับตัวขึ้น 0.2% หลังรายงานยอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา
หุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ หุ้นเชลล์ และ หุ้นบีพีปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ