ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวแคบในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนกังวลต่อการที่หุ้นเริ่มมีราคาแพง และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ณ เวลา 22.07 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 31,014.51 จุด บวก 5.82 จุด หรือ 0.02%
ขณะนี้ ค่า Forward P/E Ratio ของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ 22.7 เท่า ซึ่งใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543 ขณะที่นักลงทุนยังคงส่งคำสั่งซื้อเข้าตลาด แม้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และความปั่นป่วนทางการเมืองในสหรัฐ
นักวิเคราะห์แสดงความวิตกว่า ค่า Forward P/E Ratio ที่พุ่งขึ้นจะเป็นการส่งสัญญาณถึงการทรุดตัวลงของตลาดในระยะต่อไป โดยขณะนี้ราคาหุ้นมีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานในช่วงที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยหนุนจากเพียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ขณะเดียวกัน การดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในสหรัฐ
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.165% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.89%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2563 ของบริษัทจดทะเบียน โดยเจพีมอร์แกน ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก จะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์นี้
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 จะมีผลประกอบการลดลง 9.8% ในไตรมาส 4/2563 แต่จะพุ่งขึ้น 16.4% ในไตรมาส 1/2564
ขณะเดียวกัน นักลงทุนกังวลว่าการที่สมาชิกพรรคเดโมแครตได้ยื่นญัตติถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง อาจส่งผลให้การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เกิดความล่าช้า
ทั้งนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเดโมแครตจำนวน 3 รายได้ยื่นญัตติถอดถอนปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง โดยญัตติดังกล่าวระบุว่า ปธน.ทรัมป์ได้กล่าวเท็จเกี่ยวกับการที่เขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีเพราะมีการโกงเลือกตั้ง และได้ปลุกระดมมวลชนให้บุกเข้าไปยังสภาคองเกรสในวันพุธที่ผ่านมา เพื่อขัดขวางกระบวนการประกาศรับรองชัยชนะของนายโจ ไบเดนในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
"การกระทำของปธน.ทรัมป์ถือเป็นการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย และแทรกแซงการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ รวมทั้งทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ตราบใดที่เขายังอยู่ในตำแหน่งต่อไป ก็จะเป็นภัยต่อความมั่นคง ประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ" ข้อความในญัตติระบุ
คาดว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะทำการลงมติต่อญัตติดังกล่าวในวันพรุ่งนี้
นอกจากนี้ นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ยังได้เรียกร้องให้นายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดี ใช้บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 25 เพื่อปลดปธน.ทรัมป์ออกจากตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือนธ.ค.จากสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB), ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนพ.ย., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน