ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัวเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขาย ขณะจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19, ภาวะการเมืองในสหรัฐ และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่จากรัฐบาลของนายโจ ไบเดน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดเพิ่มขึ้น 0.05% ปิดที่ 408.61 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,925.06 จุด ลดลง 11.60 จุด หรือ -0.083%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,650.97 จุด ลดลง 11.46 จุด หรือ -0.20% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,754.11 จุด ลดลง 44.37 จุด หรือ -0.65%
ตลาดหุ้นยุโรปทรงตัว เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายหุ้น ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นของโรคโควิด-19 ในยุโรป
แต่หุ้นที่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ อาทิ หุ้นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มรถยนต์ และกลุ่มน้ำมัน ปรับตัวขึ้นและช่วยหนุนตลาดหุ้นต่างๆ
นักลงทุนจะจับตารอดูการเริ่มรายงานผลประกอบการจากบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงความชัดเจนของแผนการใช้จ่ายด้านการคลังของรัฐบาลนายโจ ไบเดนซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 20 ม.ค.นี้
หุ้นกลุ่มรถยนต์พุ่งขึ้นนำตลาด หลังเรโนลต์, บีเอ็มดับบลิว และโฟล์คสวาเกน รายงานยอดขายปี 2563
หุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากความหวังว่า รัฐบาลของนายโจ ไบเดนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วขึ้น
หุ้นกลุ่มน้ำมันปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่พุ่งสูงสุดในรอบ 11 เดือน เนื่องจากปริมาณน้ำมันตึงตัวมากขึ้น และจากการคาดการณ์ที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะลดลง
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มเฮลธ์แคร์, กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ปรับตัวลง ซึ่งส่งผลถ่วงตลาดโดยรวมลงด้วย