ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) โดยได้ปัจจัยบวกจากความหวังที่ว่า รัฐบาลสหรัฐชุดใหม่ภายใต้การนำของนายโจ ไบเดน จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งจะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นในปีนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดปรับตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นด้วย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการซื้อสินทรัพย์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,068.69 จุด เพิ่มขึ้น 60.00 จุด หรือ +0.19% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,801.19 จุด เพิ่มขึ้น 1.58 จุด หรือ +0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,072.43 จุด เพิ่มขึ้น 36.00 จุด หรือ +0.28%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวก ท่ามกลางความหวังที่ว่า คณะบริหารของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยนายไบเดนส่งสัญญาณว่า เขาจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ในวันพฤหัสบดีนี้ ก่อนที่จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค.
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะทำให้ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เฟดตัดสินใจชะลอการซื้อสินทรัพย์ รวมถึงหลักทรัพย์ที่มีหนี้จำนองค้ำประกัน (MBS)
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.174% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.2563 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.904% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 เช่นกัน
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 3.5% หลังจากราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นเชฟรอน ดีดขึ้น 1.9% หุ้นโคโนโค ฟิลลิปส์ ทะยานขึ้น 4.52% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 7.58%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนผลประกอบการของภาคธนาคาร โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.85% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส บวก 1.57% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 1.81% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 2.11%
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) พุ่งขึ้น 6.29% และปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี หลังจากนางแมรี บาร์รา ซีอีโอของ GM เปิดเผยแผนการผลิตรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าครั้งแรก ซึ่งจะส่งมอบให้กับบริษัทเฟดเอ็กซ์ภายในสิ้นปีนี้
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 4.72% หลังจากรายงานที่เทสลายื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ระบุว่า เทสลาจะเริ่มดำเนินการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอินเดียภายในปีนี้
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2563 ของบริษัทจดทะเบียน โดยเจพีมอร์แกน ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก จะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์นี้ ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 จะมีผลประกอบการลดลง 9.8% ในไตรมาส 4/2563 แต่จะพุ่งขึ้น 16.4% ในไตรมาส 1/2564
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) แถลงว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมดิ่งลงสู่ระดับ 95.9 ในเดือนธ.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 100.0 จากระดับ 100.9 ในเดือนพ.ย.
ทางด้านสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงานลดลง 105,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 6.527 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค., รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน