ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (26 ม.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย โดยนักลงทุนรอดูว่าเฟดจะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือนต่อไปหรือไม่
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,937.04 จุด ลดลง 22.96 จุด หรือ -0.07% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,849.62 จุด ลดลง 5.74 จุด หรือ -0.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,626.06 จุด ลดลง 9.93 จุด หรือ -0.07%
นักวิเคราะห์จากบริษัทอินเวสโคในรัฐจอร์เจียกล่าวว่า แม้ตลาดได้แรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีการรายงานล่าสุด ซึ่งรวมถึงบริษัท 3M แต่ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโควิด-19 และความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทเอกชนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจในอนาคต
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหนักสุดถึง 2.12% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลง โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 2.09% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.68% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ดิ่งลง 2.18% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.31%
หุ้น 3M ซึ่งเป็นหนึ่งใน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณดัชนีดาวโจนส์ พุ่งขึ้น 3.26% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2563 ที่ระดับ 1.389 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.38 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 969 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.66 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562
ทั้งนี้ ผลประกอบการของ 3M ได้รับปัจจัยหนุนจากการที่บริษัทดำเนินนโยบายลดต้นทุน รวมทั้งได้ประโยชน์จากยอดขายหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และหน้ากากนิรภัย ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนัก
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) พุ่งขึ้น 2.73% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2563 ที่ระดับ 1.86 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.82 ดอลลาร์/หุ้น ขณะเดียวกันคาดว่า จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนโควิด-19 ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่ได้ทำการทดลองวัคซีนในระยะที่ 3 กับอาสาสมัครจำนวน 45,000 คน
หุ้นเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) พุ่งขึ้น 2.73% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 4/2563 ที่ระดับ 2.193 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 2.183 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี บริษัทมีกำไรเพียง 8 เซนต์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 9 เซนต์/หุ้น
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายอื่นๆในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ แอปเปิล, ไมโครซอฟท์, โบอิ้ง, เน็ตฟลิกซ์ และเทสลา
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย ด้านนักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% ขณะที่ตลาดจับตาดูว่าเฟดจะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในวงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือนหรือไม่ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐพุ่งขึ้น 9.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 6 ปี
ทางด้านผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 89.3 ในเดือนม.ค. จากระดับ 87.1 ในเดือนธ.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 89.0 โดยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจมุมมองของผู้บริโภค และความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และในช่วง 6 เดือนข้างหน้า, สถานะการเงินส่วนบุคคล และการจ้างงาน
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2563 (ประมาณการเบื้องต้น), ยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนธ.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน