ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (2 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นแอปเปิลและหุ้นเทสลาที่ถูกเทขายอย่างหนัก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภาวะฟองสบู่ในตลาดการเงินทั่วโลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,391.52 จุด ลดลง 143.99 จุด หรือ -0.46% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,870.29 จุด ลดลง 31.53 จุด หรือ -0.81% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,358.79 จุด ลดลง 230.04 จุด หรือ -1.69%
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.63% เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเคยได้ประโยชน์จากการที่ประชาชนต้องพึ่งพากิจกรรมออนไลน์ในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดอย่างหนัก โดยหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 2.09% หุ้นเฟซบุ๊ก ดิ่งลง 2.23% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1.3% หุ้นอินเทล ร่วงลง 2.6% หุ้น Nvidia ร่วงลง 3.15% หุ้นเทสลา ดิ่งลง 4.45%
หุ้น Zoom Video Communications ร่วงลง 9% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2563 ที่ระดับ 1.22 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 79 เซนต์/หุ้น
หุ้นกลุ่มวัสดุเป็นหุ้นเพียงกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น ท่ามกลางความหวังที่ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง โดยหุ้นอัลโค คอร์ป พุ่งขึ้น 5.79% หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอร์แรน เพิ่มขึ้น 0.8%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันหลังจากนายเกา ชู่ฉิง ประธานคณะกรรมการฝ่ายกำกับดูแลด้านการธนาคารและการประกันของจีน (CBIRC) ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภาวะฟองสบู่ในตลาดการเงินทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดการเงินในสหรัฐและยุโรปที่อาจเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตก เนื่องจากการพุ่งขึ้นของตลาดกำลังอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง และมีแนวโน้มว่าตลาดจะเผชิญกับการปรับฐานในไม่ช้านี้
หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค (Merck & Co) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 0.65% หลังมีข่าวว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะขอให้บริษัทเมอร์ค แอนด์ โค เข้าช่วยเหลือบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ในการผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลสหรัฐในการเพิ่มกำลังการผลิตวัคซีนของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
หุ้นโคห์ลส์ คอร์ป ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้น 0.65% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2563 ที่ระดับ 2.22 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.01 ดอลลาร์/หุ้น
นักลงทุนติดตามความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐ หลังจากสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบต่อมาตรการดังกล่าวแล้วในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ก่อนที่จะส่งให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามรับรองเป็นกฎหมาย
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 16-17 มี.ค. หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวในแถลงการณ์รอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน พร้อมกับส่งสัญญาณตรึงอัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% ต่อไปอีกกว่า 3 ปี
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนก.พ.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนก.พ.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนม.ค., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ. และดุลการค้าเดือนม.ค.