ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นวันที่ 5 ติดต่อกันเมื่อคืนนี้ (12 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนได้พากันเข้าซื้อหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น แต่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงสวนทางตลาดหลังจากดีดตัวขึ้นมากกว่า 6% ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา และดัชนี S&P500 ปิดตลาดทรงตัวหลังแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่เพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,778.64 จุด เพิ่มขึ้น 293.05 จุด หรือ +0.90%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,943.34 จุด เพิ่มขึ้น 4.00 จุด หรือ +0.10% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,319.86 จุด ลดลง 78.81 จุด หรือ -0.59%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 4.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์ที่คิดเป็นเปอร์เซนต์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย., ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 2.6% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3% แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนก.พ.
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นขานรับประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามในกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อวันพฤหัสบดี และการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจได้ตอกย้ำความเชื่อมั่นที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มการขยายตัวสูง
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะมีการปรับลดมาตรการกระตุ้นด้านการเงินลงอย่างรวดเร็ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.642% ในวันศุกร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2563
การปรับตัวขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ และการลดลงของดัชนี Nasdaq สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนยังคงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมาอย่างต่อเนื่อง และเข้าซื้อหุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจรวมถึงหุ้นมูลค่าที่ยังมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และการออกมาตรการช่วยเหลือด้านการคลังมากขึ้นในสหรัฐได้ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไปก็ตาม
บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 16-17 มี.ค.นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวกในวันศุกร์ โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 1.5% ขณะที่กลุ่มบริการสื่อสาร และกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 0.9% และ 0.71% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร อาทิ เฟซบุ๊ก, แอปเปิล, แอมะซอน.คอม, เน็ตฟลิกซ์, อัลฟาเบท, เทสลา และไมโครซอฟท์ คอร์ป ปรับตัวลงตามกัน
สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐในวันศุกร์นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากพุ่งขึ้น 1.3% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2552 และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 2.8% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2561 หลังจากเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนม.ค.
ส่วนมหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 83.0 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี จากระดับ 76.8 ในเดือนก.พ. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 78.5