ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 มี.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบใหม่ของไวรัสโควิด-19 ในยุโรป ซึ่งทำให้บางประเทศในภูมิภาคแห่งนี้ต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,862.30 จุด ลดลง 153.07 จุด หรือ -0.46% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,915.46 จุด ลดลง 58.66 จุด หรือ -1.48% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,116.17 จุด ลดลง 409.03 จุด หรือ -3.02%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวการแพร่ระบาดรอบใหม่ของไวรัสโควิด-19 ในยุโรป รวมทั้งการที่หลายประเทศในยุโรประงับใช้วัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งส่งผลให้แผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในภูมิภาคแห่งนี้เป็นไปอย่างล่าช้า และมีแนวโน้มที่ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
รายงานล่าสุดระบุว่า นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสประกาศล็อกดาวน์กรุงปารีสและแคว้นอื่นๆอีกหลายแห่งเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงรุนแรงถึง 4.68% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงติดต่อกันนานถึง 5 วันทำการ โดยล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 7% เมื่อคืนนี้ ทั้งนี้ หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ดิ่งลง 6.1% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 4.31% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 3.62% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 5.05% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ดิ่งลง 4.13%
นักลงทุนเทขายหุ้นเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.742% เมื่อคืนนี้ โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิล ดิ่งลง 3.39% หุ้นแอมะซอนดอทคอม ร่วงลง 3.44% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 2.92% หุ้นเฟซบุ๊ก ลดลง 1.9% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.67% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 2.49%
การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นปัจจัยฉุดดัชนี Nasdaq ดิ่งลงกว่า 3% ขณะที่สถาบันวิจัยเนด เดวิสคาดการณ์ว่า ดัชนี Nasdaq จะทรุดตัวลงอีก 20% หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งแตะระดับ 2%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 770,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 700,000 ราย โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานยังคงสูงกว่าระดับในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งไม่เคยเกินระดับ 700,000 ราย
ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก พุ่งขึ้นสู่ระดับ 51.8 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2516 จากระดับ 23.1 ในเดือนก.พ. โดยได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่นักลงทุนยังคงมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ ดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกยังคงมีการขยายตัว