ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (24 มี.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของการที่ประเทศยุโรปยังคงใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยปัจจับลบดังกล่าวได้บดบังแรงบวกจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้แสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,420.06 จุด ลดลง 3.09 จุด หรือ -0.01% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,889.14 จุด ลดลง 21.38 จุด หรือ -0.55% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,961.89 จุด ลดลง 265.81 จุด หรือ -2.01%
นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในยุโรป โดยล่าสุดรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกาศขยายเวลาล็อกดาวน์ออกไปจนถึงวันที่ 20 เม.ย. หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น ขณะที่นายกรัฐมนตรีมาร์ค รุตเตอ ได้แสดงความกังวลว่า เนเธอร์แลนด์อาจจะเผชิญกับการแพร่ระบาดรอบ 3
ความกังวลดังกล่าว ประกอบกับแรงเทขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ได้สกัดปัจจัยบวกจากการที่นายพาวเวล ประธานเฟด และนางเยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้แสดงมุมมองที่เป็นบวกในระหว่างการแถลงต่อสภาคองเกรสเมื่อคืนนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีความคืบหน้ามากขึ้น
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารร่วงลงกว่า 1.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันวันที่ 2 โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.92% หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 2% หุ้นแอมะซอนดอทคอม ลดลง 1.61% หุ้นอัลฟาเบท ลดลง 0.43% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 0.897% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 2.67%
หุ้น GameStop ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายวิดีโอเกมชื่อดังในสหรัฐ ทรุดตัวลง 33.79% หลังมีรายงานว่า GameStop วางแผนระดมทุนด้วยการขายหุ้น เพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
หุ้นอินเทล ปิดตลาดร่วงลง 2.27% หลังพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในระหว่างวัน จากการที่บริษัทประกาศแผนลงทุน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่จำนวน 2 แห่งในรัฐแอริโซนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การพลิกฟื้นธุรกิจครั้งใหญ่ โดยรวมถึงการเปิดตัวบริการใหม่เพื่อรับจ้างผลิตชิปคอมพิวเตอร์ให้บริษัทอื่นๆ
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นเกือบ 6% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ทะยานขึ้น 2.9% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 2.68% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 2.35% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ดีดขึ้น 2.03% หุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ บวก 1.75%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดและส่งผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 1.1% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว หลังจากที่เพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8%
ทางด้านเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของสหรัฐ อยู่ที่ระดับ 59.1 ในเดือนมี.ค. ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 59.5 ในเดือนก.พ.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, กำไรภาคเอกชนไตรมาส 4/2563, รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนก.พ., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.พ. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน