ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกทำนิวไฮเมื่อวันศุกร์ (9 เม.ย.) เช่นเดียวกับดัชนี S&P500 และยังปิดตลาดปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันด้วย โดยตลาดได้แรงหนุนบางส่วนจากหุ้นเติบโต (growth stocks) ที่ดีดตัวขึ้น ขณะที่ตลาดโดยรวมทะยานขึ้นในช่วงท้ายของการซื้อขายก่อนที่บรรดาบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2564 ในสัปดาห์หน้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,800.60 จุด เพิ่มขึ้น 297.03 จุด หรือ +0.89%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,128.80 จุด เพิ่มขึ้น 31.63 จุด หรือ +0.77% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,900.19 จุด เพิ่มขึ้น 70.88 จุด หรือ +0.51%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ บวก 1.96%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2.71% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 3.12%
หุ้นเติบโตเริ่มปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีซึ่งลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนที่เข้าทดสอบในปลายเดือนมี.ค.นั้น ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเติบโต
บรรดานักลงทุนจำนวนมากคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในสหรัฐ เนื่องจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ช่วยเร่งให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวจากการล็อกดาวน์ แต่ตลาดแทบไม่วิตกเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าจะปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเกินเป้าหมาย
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต พุ่งขึ้น 1.0% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.พ. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 4.2% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 9 ปีครึ่งนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2554 หลังจากเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนก.พ.
ด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในการประชุมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อวันพฤหัสบดีว่า ราคาผู้บริโภคจะดีดตัวขึ้นในปีนี้ ซึ่งมีสาเหตุจากการใช้จ่ายที่พุ่งขึ้นของสหรัฐขณะเปิดเศรษฐกิจครั้งใหม่ แต่คาดว่า ราคาที่ดีดตัวขึ้นนั้นจะไม่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่า การแสดงความเห็นของนายพาวเวลเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ธนาคารต่างๆ ในสหรัฐจะเริ่มเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกในสัปดาห์หน้า โดยโกลด์แมน แซคส์, เจพีมอร์แกน และเวลส์ ฟาร์โกจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2564 ในวันพุธหน้า ขณะที่บรรดานักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทในดัชนี S&P500 จะรายงานผลกำไรพุ่งขึ้น 25% จากปีก่อน ซึ่งจะเป็นผลประกอบการไตรมาสแรกที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2561
หุ้นทุนจดทะเบียนสูง อาทิ แอปเปิล, แอมะซอน และไมโครซอฟท์ ซึ่งจัดเป็นหุ้นเติบโตนั้น ปรับตัวขึ้นนำในดัชนี S&P500 โดยเฉพาะหุ้นแอมะซอน บวก 2.21% หลังมีรายงานว่า คนงานที่โกดังสินค้าในรัฐอลาบามาปฎิเสธความพยายามที่จะจัดตั้งสหภาพแรงงาน
หุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อาทิ หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันด้วย หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐระยะยาวของสหรัฐปรับตัวลงจากระดับสูงสุด
แบงก์ออฟอเมริกาเปิดเผยข้อมูลเงินหมุนเวียนรายสัปดาห์บ่งชี้ว่า บรรดานักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มากกว่าในรอบ 12 ปี
หุ้นฮันนีเวลล์พุ่งขึ้น 3.2% หลังบริษัทเจฟเฟอรีย์และเจพีมอร์แกนปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้นฮันนีเวลล์ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากพุ่งขึ้น 1.4% ในเดือนม.ค. และเมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนก.พ.
ส่วนยอดขายในภาคค้าส่งลดลง 0.8% ในเดือนก.พ. หลังจากพุ่งขึ้น 4.4% ในเดือนม.ค. ขณะที่เจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.27 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.25 เดือนในเดือนม.ค.