ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพุ่งขึ้นกว่า 200 จุด ยืนเหนือระดับ 34,000 จุด โดยตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อเสนอของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในการปรับเพิ่มภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน (capital gains tax) หลังโกลด์แมน แซคส์คาดว่าสภาคองเกรสจะปรับลดขนาดของภาษีดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดเผยตัวเลขภาคการผลิตและบริการที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมทั้งยอดขายบ้านใหม่ที่พุ่งเกินคาด
ณ เวลา 23.51 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,068.77 จุด บวก 252.87 จุด หรือ 0.75%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีแผนที่จะปรับเพิ่มภาษี capital gains tax สูงถึง 43.4% สำหรับชาวอเมริกันที่ร่ำรวย
นอกจากนี้ ข้อเสนอดังกล่าวยังระบุให้มีการปรับเพิ่มภาษีสู่ระดับ 39.6% สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันเรียกเก็บที่ระดับ 20%
อย่างไรก็ดี โกลด์แมน แซคส์ออกรายงานระบุว่า ทางบริษัทคาดการณ์ว่าสภาคองเกรสจะทำการพิจารณาทบทวนข้อเสนอดังกล่าวของปธน.ไบเดน โดยจะปรับลดขนาดของอัตราภาษีดังกล่าวเหลือเพียง 28%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 20.7% สู่ระดับ 1.021 ล้านยูนิตในเดือนมี.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 886,000 ยูนิต หลังจากดิ่งลง 16.2% ในเดือนก.พ.
นอกจากนี้ ราคาเฉลี่ยของบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 0.8% สู่ระดับ 330,800 ดอลลาร์ในเดือนมี.ค.
ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 62.2 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 59.7 ในเดือนมี.ค.
ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว ทั้งภาคการผลิตและบริการ
ดัชนี PMI ได้รับแรงหนุนจากดีดตัวขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจพุ่งขึ้นขานรับการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวงกว้าง
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น อยู่ที่ 60.6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 59.1 ในเดือนมี.ค.
สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 63.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 60.4 ในเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 27-28 เม.ย. หลังเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 16-17 มี.ค. โดยระบุว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างยั่งยืน