ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) และลดลงเป็นสัปดาห์แรกในรอบ 8 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นทั่วโลก ซึ่งได้บดบังปัจจัยบวกจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของยูโรโซน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 439.04 จุด ลดลง 0.59 จุด หรือ -0.13%
ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,257.94 จุด ลดลง 9.34 จุด หรือ -0.15% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,279.62 จุด ลดลง 40.90 จุด หรือ -0.27% ส่วนดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,938.56 จุด เพิ่มขึ้น 0.32 จุด หรือ +0.00%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง 0.8% ในรอบสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนขายหุ้นออกมาจากความวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยอินเดียรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งสูงสุดในโลกเป็นวันที่สองในวันศุกร์ และญี่ปุ่นประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงโตเกียวและอีก 3 จังหวัดแล้ว หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายยังถูกกดดันหลังจากมีรายงานข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐวางแผนที่จะปรับขึ้นภาษีกำไรจากการลงทุน (capital gains tax)
หุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มผู้บริโภคปรับตัวลงมากที่สุด แต่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นโดยได้แรงหนุนจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นยุโรปไม่ได้รับแรงหนุน แม้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของยูโรโซนที่แข็งแกร่งก็ตาม โดยไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-บริการเบื้องต้นของยูโรโซน อยู่ที่ระดับ 53.7 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน เพิ่มขึ้นจากระดับ 53.2 ในเดือนมี.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการผลิตที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดัชนี PMI อยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งหมายความว่า กิจกรรมของภาคธุรกิจในยูโรโซนยังคงขยายตัว