ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (27 เม.ย.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์และอัลฟาเบท จะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1 ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย รวมทั้งจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1 ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,984.93 จุด เพิ่มขึ้น 3.36 จุด หรือ +0.01% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,186.72 จุด ลดลง 0.90 จุด หรือ -0.02% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,090.22 จุด ลดลง 48.56 จุด หรือ -0.34%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาเมื่อคืนนี้ ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการ โดยไมโครซอฟท์ และอัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการหลังตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการซื้อขายในวันอังคาร ขณะที่แอปเปิลและแอมะซอนจะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง โดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลงหนักสุด ทั้งนี้ หุ้นพีจีแอนด์อี คอร์ปอเรชั่น ร่วงลง 1.48% หุ้นเอ็กเซลอน คอร์ปอเรชั่น ลดลง 0.25% หุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี ลดลง 0.59%
หุ้นเทสลา ร่วงลง 4.53% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาส 1 อยู่ที่ 438 ล้านดอลลาร์ หรือ 93 เซนต์ต่อหุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 79 เซนต์ต่อหุ้น อย่างไรก็ดี ผลประกอบการของเทสลาอยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักลงทุนบางกลุ่ม นอกจากนี้ นักลงทุนยังมองว่า กำไรส่วนใหญ่ของเทสลามาจากคาร์บอนเครดิตและการขายบิตคอยน์ มากกว่าที่จะมาจากยอดขายรถยนต์
หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (GE) ปรับตัวลง 0.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด และไม่ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการในปี 2564 ซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ WTI โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 2.11% หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.37% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 1.16% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม บวก 0.8%
หุ้นยูไนเต็ด พาร์เซิล เซอร์วิส (UPS) ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 10.42% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 ที่ระดับ 2.77 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.72 ดอลลาร์/หุ้น
นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเอาไว้ที่ระดับใกล้ 0% และเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างน้อย 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2564 ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า GDP ของสหรัฐจะขยายตัว 6.1% ในไตรมาส 1 ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2546 หลังจากที่มีการขยายตัว 4.3% ในไตรมาส 4/2563
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐพุ่งขึ้น 12% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว โดยเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2549 หลังจากเพิ่มขึ้น 11.2% ในเดือนม.ค.
ทางด้านผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 121.7 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเกิดการระบาดของโควิด-19 ในเดือนก.พ.2563 จากระดับ 109.0 ในเดือนมี.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 113.0 โดยได้แรงหนุนจากการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในวงกว้าง และการเปิดเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งทำให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมี.ค., รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนมี.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมี.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน