ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ ขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทแอปเปิลและเฟซบุ๊ก
ณ เวลา 18.42 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 120 จุด หรือ 0.36% สู่ระดับ 33,844 จุด
ราคาหุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้นเกือบ 3% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้ หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ตามปีงบการเงิน 2564 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ แอปเปิลเปิดเผยกำไรที่ระดับ 1.40 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.99 ดอลลาร์/หุ้น
นอกจากนี้ รายได้อยู่ที่ระดับ 8.958 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.736 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนราคาหุ้นเฟซบุ๊กพุ่งขึ้นกว่า 7% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้ ขานรับผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ดีเกินคาด
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กเปิดเผยกำไรที่ระดับ 3.30 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.37 ดอลลาร์/หุ้น
นอกจากนี้ รายได้อยู่ที่ระดับ 2.617 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.367 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มธุรกิจเรือสำราญดีดตัวขึ้นเช่นกัน หลังจากที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (CDC) ระบุว่า สหรัฐจะเปิดท่าเรือทั่วประเทศในกลางเดือนก.ค. ซึ่งจะทำให้เรือของสหรัฐสามารถเริ่มเดินทางออกจากท่าเรือในช่วงเวลาดังกล่าว
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2564 ในคืนนี้เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย
ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 6.1% ในไตรมาส 1 ซึ่งจะเป็นตัวเลขการขยายตัวสูงเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่ไตรมาส 3/2546 หลังจากที่เติบโต 4.3% ในไตรมาส 4/2563
นอกจากนี้ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 33.4% ในไตรมาส 3/2563 ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่สหรัฐเริ่มมีการรวบรวมข้อมูลในปี 2490 หรือมากกว่า 70 ปี จากการที่สหรัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และมีการเปิดเศรษฐกิจ หลังจากหดตัว 31.4% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ และหดตัว 5% ในไตรมาส 1 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัวมากกว่า 7.0% ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากหดตัว 3.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบ 74 ปี