ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นทำนิวไฮเมื่อวันศุกร์ (7 พ.ค.) และปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย ขณะที่ดัชนี Nasdaq ฟื้นตัวขึ้น หลังจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนเม.ย.ที่ชะลอตัวในสหรัฐ ได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,777.76 จุด เพิ่มขึ้น 229.23 จุด หรือ +0.66%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,232.60 จุด เพิ่มขึ้น 30.98 จุด หรือ +0.74% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,752.24 จุด เพิ่มขึ้น 119.40 จุด หรือ +0.88%
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยหุ้นกลุ่มพลังงานและวัสดุปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์บวก 2.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค., ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์สูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนเม.ย. ขณะที่ดัชนี Nasdaq ลดลง 1.5%
ตลาดได้แรงหนุน หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่ต่ำกว่าคาดนั้น ได้ช่วยคลายความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบรรดาบริษัทเติบโตที่มีมูลค่าสูง
หุ้นเติบโตที่มีน้ำหนักสูงในตลาด อาทิ ไมโครซอฟท์และแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 1.1% และ 0.5% ตามลำดับ ซึ่งเป็นแรงหนุนมากที่สุดให้กับดัชนี S&P500 และ Nasdaq
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 266,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่า อาจเพิ่มขึ้น 1,000,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.1% ในเดือนเม.ย. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่า อาจลดลงสู่ระดับ 5.8%
นอกจากนี้ การเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐได้ช่วยหนุนตลาดด้วย โดยข้อมูลจาก Refinitiv คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่รวมอยู่ในดัชนี S&P500 อาจเพิ่มขึ้น 50.4% ในไตรมาสแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งจะเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1/2553
หุ้นสแควร์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านการชำระเงิน พุ่งขึ้น 4.2% หลังเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาด เนื่องจากความต้องการบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้นได้กระตุ้นการทำธุรกรรมเงินคริปโตเคอเรนซีในแอปพลิเคชันของสแควร์
หุ้นโรคู, หุ้นเพโลตัน และหุ้นเอ็กซ์พีเดีย พุ่งขึ้นเช่นกัน หลังจากเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ของสหรัฐที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ได้แก่ ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่ง เพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนก.พ. และเมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่ง พุ่งขึ้น 4.5% ในเดือนมี.ค. ส่วนยอดขายในภาคค้าส่ง เพิ่มขึ้น 4.6% ในเดือนมี.ค. หลังจากทรงตัวในเดือนก.พ. ขณะที่เจ้าของธุรกิจจะใช้เวลา 1.22 เดือนในการขายสินค้าจนหมดสต็อก ลดลงจากระดับ 1.26 เดือนในเดือนก.พ.