ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 พ.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันซึ่งพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่การรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในยุโรปและสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้บดบังความวิตกเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 437.93 จุด เพิ่มขึ้น 1.32 จุด หรือ +0.30%
ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,279.35 จุด เพิ่มขึ้น 11.96 จุด หรือ +0.19%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,150.22 จุด เพิ่มขึ้น 30.47 จุด หรือ +0.20% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,004.63 จุด เพิ่มขึ้น 56.64 จุด หรือ +0.82%
ตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัวขึ้นหลังจากร่วงลงเกือบ 2% เมื่อวันอังคาร ซึ่งเป็นการร่วงงลงรุนแรงที่สุดในปีนี้
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ พุ่งขึ้น 2.0% โดยหุ้นเชลล์ และ หุ้นบีพี พุ่งขึ้นมากกว่า 3.5% หลังได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นจากสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และการคาดการณ์อุปสงค์พลังงานที่เพิ่มขึ้น
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอังกฤษซึ่งขยายตัวเกินคาด 2.1% ในเดือนมี.ค.ได้ช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปด้วย
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเกล็นคอร์, แองโกล อเมริกัน และริโอ ทินโต ปรับตัวขึ้นราว 1% เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ แนวโน้มผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในยุโรปช่วยหนุนตลาดด้วย โดยข้อมูลจาก Refinitiv IBES คาดว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทยุโรปโดยรวมจะพุ่งขึ้น 90.2% เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วที่คาดว่าจะขยายตัว 83.1%
หุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ของเยอรมนี พุ่งขึ้น 8.6% หลังจากเปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรกดีกว่าคาด และปรับเพิ่มแนวโน้มรายได้