ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (13 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ร่วงลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรุดตัวลง ขณะที่การเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป และความวิตกเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้นักลงทุนขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมา
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 437.32 จุด ลดลง 0.61 จุด หรือ -0.14%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,963.33 จุด ลดลง 41.30 จุด หรือ -0.59% ขณะที่ดัชนี CAC 40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,288.33 จุด เพิ่มขึ้น 8.98 จุด หรือ +0.14% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,199.68 จุด เพิ่มขึ้น 49.46 จุด หรือ +0.33%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง นำโดยหุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานซึ่งร่วงลง 3% และหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ร่วงลง 1.4% โดยปรับตัวลงตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ร่วงลง
หุ้นกลุ่มรถยนต์ปรับตัวลงด้วย 0.9% ขณะที่หุ้นกลุ่มปลอดภัยปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด อาทิ กลุ่มสาธารณูปโภค, กลุ่มเฮลธ์แคร์ และกลุ่มเทเลคอม
อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นในเดือนเม.ย.ทำให้เกิดความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
หุ้นเบอเบอร์รีของอังกฤษ ร่วงลง 4.2% หลังรายงานยอดขายรายปีลดลง 10% จากผลกระทบของโรคโควิด-19 ระบาด
หุ้นบีที กรุ๊ป ร่วงลง 5.9% หลังเปิดเผยรายได้ลดลง 7% และผลประกอบการทั้งปีที่ปรับแล้ว ลดลง 6%
ตลาดหุ้นเดนมาร์ก, ฟินแลนด์, นอรเวย์, สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ปิดทำการวานนี้ (13 พ.ค.) เนื่องในวันหยุดประจำชาติ